กรณีคณะลูกขุนสหรัฐฯ ตัดสินให้ ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายวัย 54 ปีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความผิดใน 3 ข้อหา จากคดีให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดในการตรวจสอบประวัติระหว่างซื้ออาวุธปืนเมื่อปี 2018 กลายเป็นข่าวที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินคดีอาญาต่อสมาชิกครอบครัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ระหว่างการดำรงตำแหน่ง
โดยการตัดสินความผิดบุตรชายไบเดนมีขึ้นหลังจากเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คู่แข่งคนสำคัญจากพรรครีพับลิกันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกตัดสินความผิดคดีอาญาร้ายแรงถึง 34 ข้อหา จากคดีปลอมแปลงเอกสารเพื่อจ่ายเงินปิดปากนักแสดงภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ที่เขาเคยมีความสัมพันธ์ด้วย
คดีของฮันเตอร์คาดว่าจะมีการตัดสินโทษใน 120 วัน ในขณะที่คดีของทรัมป์นั้นจะมีการตัดสินโทษในวันที่ 11 กรกฎาคม หรือไม่กี่วันก่อนงานประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน ซึ่งจะเลือกเขาเป็นตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าทั้งสองคดีจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทั้งไบเดนและทรัมป์ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ยากจะคาดเดาว่า ‘บาดแผล’ ของฝ่ายไหนจะหนักกว่ากัน และจะถึงขั้นทำให้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเลยหรือไม่
ทรัมป์โดนคดีอะไร?
ที่มาที่ไปสำหรับคดีปลอมแปลงเอกสารของทรัมป์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ทรัมป์ยังไม่เข้ามาเล่นการเมือง จากการที่เขานอกใจภรรยาไปมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับ สตอร์มี แดเนียลส์ นักแสดงภาพยนตร์ผู้ใหญ่
ในเวลาต่อมา ระหว่างที่ทรัมป์กำลังหาเสียงโค้งสุดท้ายในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 แดเนียลส์ข่มขู่ทรัมป์ว่าจะแฉความสัมพันธ์อื้อฉาวของทั้งสองต่อสาธารณชนเพื่อทำลายคะแนนนิยม ส่งผลให้ทรัมป์และทีมงานหาเสียงตัดสินใจยอมจ่ายเงินแดเนียลส์เป็นเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นค่าปิดปาก โดยทรัมป์มอบหมายให้ทนายคู่ใจขณะนั้นคือ ไมเคิล โคเฮน เป็นคนจ่ายเงินให้แดเนียลส์ไปก่อน แล้วเขาจึงจ่ายเงินคืนแก่โคเฮนทีหลัง ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้มีหลักฐานว่าทรัมป์ได้จ่ายเงินให้แดเนียลส์โดยตรง
อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์เจตนาทำธุรกรรมอำพรางโดยใช้เงินของบริษัท Trump Organization จ่ายคืนเงินให้กับโคเฮน แต่กลับระบุในเอกสารของบริษัทว่า เงินที่จ่ายให้โคเฮนนั้นเป็นค่าปรึกษาทางกฎหมาย กลับกลายเป็นความผิดทางกฎหมายคือการทำเอกสารเท็จ
ขณะที่อัยการระบุว่า ทรัมป์ได้ทำเช็คจ่ายเงินให้โคเฮนโดยอ้างใบแจ้งหนี้ปลอมและมีบันทึกรายการธุรกิจปลอมทั้งหมด 34 ครั้งระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม ปี 2017 ซึ่งบันทึกทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีอาญาทรัมป์จำนวน 34 ข้อหา
ทั้งนี้ ปกติแล้วความผิดฐานทำเอกสารเท็จตามกฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กจะเป็นเพียงความผิดลหุโทษ (Misdemeanor) ที่มีเพียงแค่โทษปรับและไม่มีโทษจำคุก
แต่อัยการคดีนี้เห็นว่า การทำเอกสารเท็จดังกล่าวของทรัมป์เป็นส่วนหนึ่งของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เนื่องจากเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐที่โคเฮนออกให้ก่อนนั้นถือเป็นการบริจาคให้กับแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินที่กฎหมายอนุญาตคือ ไม่เกิน 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งผู้บริจาค ซึ่งความผิดในกฎหมายเลือกตั้งถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรง (Felony) ที่มีโทษถึงขั้นจำคุก
ความผิดของ ฮันเตอร์ ไบเดน
สำหรับคดีของฮันเตอร์ ซึ่งถูกคณะลูกขุนรัฐบาลกลาง 12 คนลงมติตัดสินให้มีความผิดอาญาร้ายแรงใน 3 ข้อหาจากการซื้อและครอบครองอาวุธปืนอย่างผิดกฎหมายในระหว่างที่มีการใช้ยาเสพติด
ต้นตอของคดีเกิดขึ้นจากการที่เขาซื้ออาวุธปืนลูกโม่ Colt Cobra .38 พร้อมกระสุนปืน จากร้านขายปืน StarQuest Shooters & Survival Supply ในเมืองวิลมิงตัน มลรัฐเดลาแวร์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2018
โดยอัยการกล่าวหาว่า เขาให้ข้อมูลเท็จเรื่องการใช้ยาเสพติดในการกรอกแบบฟอร์มตรวจสอบประวัติเพื่อซื้อปืน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ในขณะนั้นเขาติดยาเสพติดประเภทแคร็กโคเคน (Crack Cocaine) หรือโคเคนแบบก้อนผลึก
ขณะที่ฮันเตอร์ครอบครองปืนเป็นเวลา 11 วัน ก่อนที่ ฮอลลี ไบเดน ภรรยาของ โบ ไบเดน พี่ชายของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเขามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวด้วยในขณะนั้น จะพบปืนกระบอกนี้อยู่บนคอนโซลรถกระบะ และได้นำไปทิ้งถังขยะที่หน้าร้านขายของชำ
สำหรับความผิด 2 ข้อหาแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการโกหกเรื่องการใช้ยาเสพติดในแบบฟอร์มตรวจสอบประวัติ ส่วนข้อหาที่ 3 คือการครอบครองปืนในระหว่างใช้ยาเสพติด
โดยโทษสูงสุดของข้อหาดังกล่าวคือ จำคุก 25 ปี และปรับเงิน 7.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการตัดสินโทษคาดว่าจะมีขึ้นใน 120 วันหลังจากนี้ แต่คาดว่าฮันเตอร์อาจได้รับโทษสถานเบา เนื่องจากเป็นการกระทำผิดครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากคดีซื้อและครอบครองปืนอย่างผิดกฎหมายดังกล่าว ฮันเตอร์จะต้องขึ้นศาลอีกครั้งที่รัฐแคลิฟอร์เนียในเดือนกันยายนนี้ ในคดีชำระภาษีรายรับ 1.4 ล้านดอลลาร์ไม่ทันตามกำหนด
ไบเดน vs. ทรัมป์ ท่าทีที่แตกต่าง
ประธานาธิบดีไบเดนที่เดินทางไปให้กำลังใจลูกชายหลังการตัดสิน กล่าวถึงบทบาทของเขาในฐานะพ่อที่รักลูกชาย แต่ยืนยันว่ายอมรับคำตัดสินและยังคงเคารพกระบวนการพิจารณาคดี
โดยไบเดนไม่พยายามใช้อำนาจใดๆ เพื่อแทรกแซงการดำเนินคดีกับฮันเตอร์ และอนุญาตให้กระทรวงยุติธรรมตัดสินความผิด ซึ่งอาจส่งผลให้บุตรชายของเขาต้องโทษจำคุกในกรณีของผู้เสพยาเสพติดที่หายเป็นปกติ
แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาคือ ความเสียหายต่อการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา แต่เขายืนยันว่ายอมรับผลการตัดสินและจะไม่มีการนิรโทษกรรม ขณะที่ฮันเตอร์ไม่มีการกล่าวโจมตีผู้พิพากษาหรืออัยการ โดยแสดงความผิดหวังต่อคำตัดสิน แต่กล่าวว่า “รู้สึกขอบคุณสำหรับความรักและการสนับสนุนจากครอบครัว”
ส่วนปฏิกิริยาของทรัมป์ต่อการพิจารณาคดีและการตัดสินความผิดของเขานั้นค่อนข้างแตกต่างจากไบเดน โดยทรัมป์กล่าวโจมตีทั้งพยาน อัยการ คณะลูกขุน และผู้พิพากษา
เขาอ้างว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของรัฐบาลไบเดน เพื่อสร้างบาดแผลหรือทำร้ายคู่แข่งทางการเมือง” และประณาม ‘การตัดสินความผิดร้ายแรง’ โดยเขายังเตือนว่า หากชนะเลือกตั้ง เขาจะใช้อำนาจประธานาธิบดีเพื่อลงโทษฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
“ผมต้องซื่อสัตย์ แต่คุณรู้ไหมว่าบางครั้งมันก็ทำได้ ผมมีสิทธิ์ทุกประการที่จะติดตามเอาคืนพวกเขา” ทรัมป์บอกกับ Fox News เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยหมายความถึงประธานาธิบดีไบเดน
คดีอื้อฉาวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ที่ผ่านมาบุตรชายคนเล็กของผู้นำสหรัฐฯ นอกจากจะมีประวัติเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดแล้ว ยังเคยตกเป็นเป้าสืบสวนโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในคดีทำธุรกิจข้ามชาติอย่างไม่ถูกต้องทั้งในยูเครนและจีน
กรณีหลังกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2020 โดยทรัมป์หยิบยกประเด็นนี้มาโจมตีไบเดนกล่าวหาว่า ฮันเตอร์อาศัยชื่อบิดา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาธุรกิจมูลค่ามหาศาล และกล่าวหาไบเดนว่าเจตนาเอื้อประโยชน์ให้บุตรชาย
อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาต่างๆ จนถึงวันนี้ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน ทำให้ไบเดนยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่หลายตัวละครที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินคดี อาทิ เจ้าหน้าที่ยูเครน 3 รายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับรัสเซีย ถูกทางการยูเครนตั้งข้อหากบฏ จากการพยายามปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของตระกูลไบเดนในยูเครน เพื่อดิสเครดิตและช่วยทีมหาเสียงของทรัมป์แลกกับเงินค่าจ้าง
อ้างอิง: