CPI สหรัฐอเมริกาแผ่วต่อเนื่อง เพิ่ม 7.1% แต่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะผ่านพ้นจุดพีคไปแล้ว และให้พื้นที่มากขึ้นแก่ Fed ในการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยวันนี้ (14 ธันวาคม ตามเวลาสหรัฐฯ)
สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ เผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 7.1% และเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าผลการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์โดย Dow Jones ที่ประเมินว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อน และเพิ่ม 7.3% ในรอบ 12 เดือน (12-month rate)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เศรษฐกิจโลก กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มี 7 ปัจจัย ที่รอบนี้แตกต่างจากวิกฤตการเงินปี 2008
- เปิด 5 สัญญาณอันตรายเศรษฐกิจ บ่งชี้โลกเสี่ยงเผชิญภาวะถดถอย
- นักเศรษฐศาสตร์ฟันธง เงินเฟ้อ ทั่วโลกผ่านจุดพีค แต่จะไม่กลับไปต่ำเท่ากับช่วงก่อนโควิด
โดยดัชนีราคาผู้บริโภคได้แตะระดับสูงสุดประมาณ 9% ในเดือนมิถุนายนปีนี้ และลดลงอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอตั้งแต่นั้นมา
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI ) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อน และ 6% ในรอบ 12 เดือน เทียบกับประมาณการที่ 0.3% และ 6.1% ตามลำดับ
รายงาน CPI นี้ยังออกมาในวันเดียวกับคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เริ่มการประชุมระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ โดยตลาดคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า FOMC จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% โดยไม่คำนึงถึงตัวเลข CPI ในวันอังคาร (13 ธันวาคม)
ทั้งนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มองข้ามการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมานานหลายเดือน โดยก่อนหน้านี้ย้ำมาตลอดว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อจะเป็นแค่ภาวะ ‘ชั่วคราว’ เท่านั้น ก่อนจะตัดสินใจเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมเป็นครั้งแรก โดยจนถึงตอนนี้มีการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงเป้าหมายที่ 3.75-4%
ด้านเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เพิ่งกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า องค์ประกอบสำคัญในการกำหนดความเคลื่อนไหวของนโยบายการเงินในอนาคตจะดูที่อัตราเงินเฟ้อบริการ (Services Inflation) ที่ไม่รวมค่าที่พัก โดยมาตรวัดดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้นในเดือนพฤศจิกายน แต่เพิ่มขึ้นเกือบ 7.3% จากปีที่แล้ว
โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าที่ลดลง โดยได้รับแรงหนุนจากราคายานยนต์มือสองที่ลดลง เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่ลดราคาสินค้า เพื่อดึงดูดผู้บริโภคในช่วงวันหยุด และระบายสินค้าคงคลังออกไป ท่ามกลางอุปสงค์ที่ชะลอตัว และห่วงโซ่อุปทานที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แรงกดดันยังมาจากภาคบริการ ซึ่งสะท้อนถึงค่าจ้างที่สูงขึ้น เนื่องจากตลาดแรงงานยังคงตึงตัว
โดยตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า Fed จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง แม้ว่าอาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหลือเพิ่มขึ้น 0.50% ในวันพุธก็ตาม
อ้างอิง:
