เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 ซึ่งคาดว่ายอดขายในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจาก
- การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSS Growth) 13%YoY (เติบโตดีที่สุดนับตั้งแต่ 4Q55) ใน 1Q65 ซึ่งใน 2Q65TD SSS น่าจะเติบโตมากกว่า 10% โดยได้รับการสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว การกลับมาของนักท่องเที่ยวในประเทศ และการกลับมาเปิดโรงเรียนอีกครั้ง
ปัจจัยเหล่านี้รวมกับวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง การกลับมาเปิดสถานบันเทิงกลางคืน เช่น ผับ และบาร์ ใน 31 จังหวัด (เริ่มวันที่ 1 มิถุนายน 2565) และโอกาสที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม (เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5) จะช่วยสนับสนุนให้ SSS Growth อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่จำนวนลูกค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่ายอดซื้อต่อบิลจะต่ำกว่าปี 2563-2564 จากการกลับมาซื้อแบบฉับพลัน แต่จะสูงกว่าปี 2562 จากการมียอดขายทาง 7-Eleven Delivery เพิ่มมากขึ้น (จัดส่งฟรี สำหรับยอดซื้อสูงกว่า 100 บาท) ยอดขายสินค้าแพ็กใหญ่ที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้น
- การกลับมาเปิดร้านอีกครั้งและสาขาใหม่ โดย CPALL ปิดร้านสะดวกซื้อ (CVS) ชั่วคราวจำนวนไม่ถึง 500 สาขา ณ สิ้น 1Q65 (ไม่ถึง 4% ของสาขาทั้งหมด) สาขาในโรงเรียนและสำนักงานทยอยกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่สาขาในย่านที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากยังคงปิดชั่วคราวอยู่
โดย CPALL วางแผนทยอยกลับมาเปิดทำการจนถึงสิ้นปี 2565 การกลับมาเปิดร้านเหล่านี้จะช่วยสนับสนุน SSS Growth ของบริษัท
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ CVS มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ (ยา หน้ากากอนามัย และ ATK) และของใช้ส่วนตัว ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงที่เพิ่มขึ้น และยอดขายสินค้าอาหารใหม่ๆ ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงที่เพิ่มขึ้น จะช่วยชดเชยยอดขายอาหารราคาประหยัดและสินค้าอาหารแพ็กใหญ่ ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำที่ยังอยู่ในระดับสูง
อัตรากำไรขั้นต้นเฉพาะกิจการของ CPALL บริษัทจะยังคงบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโควิด เช่น ค่าใช้จ่ายในการป้องกันสำหรับพนักงานและร้านค้า แต่จะต่ำกว่าใน 2H64 ซึ่งบริษัทบันทึกค่าใช้จ่ายจากการจัดการระบบขนส่งเพื่อเติมสินค้าให้ร้านในช่วงที่มีการประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายพนักงาน คิดเป็นสัดส่วน 1-2%, 2% และ 1% ของรายได้ CPALL คาดว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยยอดขายที่สูงขึ้นจะทำให้ประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
ด้านการขยายสาขาในต่างประเทศ หลังจากเปิดร้านสะดวกซื้อ (CVS) สาขาแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 CPALL มีสาขาในกัมพูชาเกือบ 10 สาขาแล้วนับถึงปัจจุบัน โดยยอดขายดีกว่าคาดจากยอดซื้อต่อบิลที่สูงกว่า แต่จำนวนลูกค้าต่ำกว่าร้านในประเทศไทย และบริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 10 สาขาในกัมพูชา และจะเปิดร้าน CVS สาขาแรกในลาวในปีนี้
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CPALL ปรับเพิ่มขึ้น 0.77%MoM สู่ระดับ 65.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวลง 0.71%MoM อยู่ที่ระดับ 1,655.65 จุด
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2565:
SCBS คาดว่ากำไร 2Q65 จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยเกิดจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (เฉพาะกิจการของ CPALL) สำหรับดีล Lotus’s ที่ลดลง (ประเมินต้นทุนทางการเงินรวมทั้งหมดได้ที่ระดับเฉลี่ย 3.3% ต่อปีใน 2Q65 เทียบกับ 7.4% ต่อปีใน 2Q64)
ส่วนกำไรปกติปี 2565 คาดจะเติบโต 79%YoY โดยการเติบโต 10% จะเกิดจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจาก CPALL ได้รีไฟแนนซ์หนี้ที่เกี่ยวข้องกับดีล Lotus’s จาก Bridging Loan ระยะสั้น เป็นหุ้นกู้ระยะยาวแล้วในปี 2564, 7% เกิดจากส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก MAKRO และ Lotus’s ภายใต้โครงสร้างการถือหุ้นใหม่หลัง EBT และ PO และที่เหลือเกิดจากธุรกิจ CVS ที่แข็งแกร่งขึ้น เพราะ SSS และมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้นจากการมีสัดส่วนการขายที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโควิดที่ลดลง
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP