วันนี้ (14 เมษายน) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยแถลงในนามพรรค ชี้มาตรการการเงินและการคลังกว่า 1.9 ล้านล้านบาท ต้องเยียวยาประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม เกษตรกรต้องได้ 35,000 บาท และ SME ต้องได้รับความช่วยเหลือทั้งมาตรการภาษีและเงินกู้ เสนอตั้งกรรมการตรวจสอบการบริหารเงินกู้และรายการสภาทุก 3 เดือน
“พรรคเพื่อไทยเห็นว่าวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน ทั้งด้านการสาธารณสุข เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตอันเป็นปกติของมนุษย์ ซึ่งการแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งระบบดังกล่าวเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกระทำ ด้วยวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ และมาตรการต่างๆ ทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรับผิดชอบตามหลักการการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี”
พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนในการเสนอความคิดเห็นเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการใช้เงินและความพึงพอใจของพี่น้องประชาชนในการใช้เงินดังกล่าว
ประการแรก การได้มาซึ่งเงินงบประมาณ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสนอให้รัฐบาลแสดงความพยายามในการปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นในปีงบประมาณ 2563 ลงก่อน ซึ่งคาดว่าหากยอมปรับลดงบที่ไม่จำเป็นลงประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้มีเงินงบประมาณมาดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ราว 5 แสนล้านบาท และจะทำให้เหลือเงินกู้เพิ่มเพียง 5 แสนล้านบาท และสำหรับการทำแผนงบประมาณปี 2564 ก็ต้องทบทวนเพื่อตัดงบที่ไม่จำเป็นทิ้ง จะทำให้ได้งบสนับสนุนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สามารถปรับลดงบประมาณได้ตามเป้าหมาย 5 แสนล้านบาท ก็ควรมีคำอธิบายต่อพี่น้องประชาชนว่าได้พยายามในการปรับลดแล้วอย่างไรบ้าง ติดขัดที่ตรงไหน และมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร รวมถึงสรุปให้เห็นชัดเจนว่าสามารถลดวงเงินจากการกู้ 1.0 ล้านล้านบาท ได้มากที่สุดเท่าใด เพราะเหตุใด”
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อไปว่า การใช้งบประมาณกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จะต้องเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งด้านการดูแล เยียวยาประชาชน การดูแลบุคลากรด้านสาธารณสุข การดูแลธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และการลงทุนเพื่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทั้งปัจจุบันและในอนาคต อยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอหลักๆ 4 ประการซึ่งเคยเสนอไปแล้ว ได้แก่ ข้อแรก ช่วยเหลือตามมาตรการเยียวยา รายละ 5,000 บาท อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งต้องรวมถึงพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งจากโรคระบาดและภัยแล้งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยย้ำว่าสำหรับเกษตรกรนั้น พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้เยียวยาเป็นรายครอบครัว ครอบครัวละ 35,000 บาท เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบซ้ำซ้อนทั้งจากภัยโควิด-19 และภัยแล้ง
ประการต่อมา ต้องจัดสรรเงินอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อจัดหาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ทางการแพทย์และการสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่ระบาด การรักษาผู้เจ็บป่วย และการป้องกันทั้งประชาชนและบุคลากรทางด้านสาธารณสุขจากเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยไม่ปล่อยให้ขาดแคลนอุปกรณ์หรือมีการกักตุน โก่งราคาสินค้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นตลอดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ข้อเสนอต่อมาคือ สนับสนุนสินเชื่อหรือยกเว้นภาษีเกี่ยวกับการนำเข้าเพื่อลงทุนเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ที่ปลอดภัยจากไวรัส เช่น เครื่องปรับอากาศฆ่าเชื้อ เป็นต้น รวมทั้งการจัดอบรมบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการ (Service Industry) ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่มีทั้งสถานที่และการบริการที่ปลอดภัยจากไวรัส ทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศในอนาคตมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า สำหรับ SME ไทยนั้น กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ได้เข้าถึงระบบการกู้จากธนาคารตามปกติ รัฐต้องช่วยให้เข้าถึงเงินกู้ ที่มีรายได้มากกว่า 25 ล้านบาทต่อปี ควรเน้นไปที่มาตรการด้านภาษี ความสะดวกหรือสิทธิพิเศษในการส่งออกหรือนำเข้า และการตลาดส่วน SME ที่มีรายได้ 100,000-10,000,000 ล้านบาท ควรเน้นมาตรการทางภาษี แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และการตลาด
สำหรับ SME ในต่างจังหวัดนั้น ใช้งบผู้ว่าราชการจังหวัด 20 ล้านดูแลได้ทันที และควรมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดู SME ต่างจังหวัดอย่างรอบด้าน เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดมีข้อมูล SME ในจังหวัดของตนเองครบถ้วนอยู่แล้ว
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยยังระบุด้วยว่า รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของประเทศว่าวิสาหกิจที่จะพลิกฟื้นและเปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาสอย่างรวดเร็วได้นั้น จะต้องเน้นที่พื้นฐานอันจำเป็นของชีวิตเป็นเบื้องต้น เช่น อาหาร สุขภาพ ยารักษาโรค ทั้งแบบสมัยใหม่และแบบสมุนไพร วัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการสาธารณสุข
ในส่วนพระราชกำหนดให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน วงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยจัดตั้งกองทุนรวมเสริมสภาพคล่องตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Liquidity Stabilization Fund: BSF) เพื่อซื้อตราสารหนี้เอกชนคุณภาพที่ดีครบกำหนดชำระในช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 นั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรเป็นผู้ให้กู้โดยตรงกับภาคเอกชน ทั้งนี้เพื่อรักษาหลักการของการเป็นธนาคารกลางของประเทศที่มีความน่าเชื่อถือไว้ จึงควรให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อแล้วจึงนำมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินจำนวนนี้ต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ให้กู้รายสุดท้าย (Lender of Last Resort) หากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดำเนินการเสียเองตั้งแต่ต้น ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางรายหรือเลือกปฏิบัติได้ อันจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศและต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
รัฐบาลต้องมีแนวทางและมาตรการการใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิผลและตรวจสอบได้ โดยตั้งคณะกรรมการที่ครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อตรวจสอบแนวทางการใช้เงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ จากนั้นต้องรายงานการใช้เงินให้สภาผู้แทนราษฎรทราบเพื่อการตรวจสอบทุก 3 เดือน รวมถึงการกำหนดแนวทางหรือมาตรการและระยะเวลาที่จะชำระคืนเงินกู้จนครบถ้วน
ข้อเสนอประการสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยคือ รัฐบาลควรผ่อนคลายมาตรการ เพื่อให้ประชาชนได้กลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันตามปกติโดยเร็วที่สุดบนพื้นฐานของความปลอดภัยของทุกฝ่ายด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดลำดับความสำคัญให้ผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ประสงค์จะดำเนินกิจการได้รับการตรวจเพื่อให้เป็นผู้ปลอดเชื้อ รวมทั้งมีอุปกรณ์และมาตรการป้องกันผู้มาใช้บริการเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ในระยะแรกของการผ่อนปรน รัฐบาลจะต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่า หากเกิดการเจ็บป่วยด้วยไวรัสดังกล่าว รัฐบาลจะสามารถดูแลรักษาได้ทั่วถึง โดยได้จัดสรรงบประมาณที่จำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรทางด้านสาธารณสุขอย่างเพียงพอ
“การกู้เงินและใช้จ่ายเงินกู้จำนวน 1.0 ล้านล้านบาทนั้นถือเป็นการจ่ายเงินแผ่นดินซึ่งจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 140 พรรคเพื่อไทยจึงขอให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า