×

บทเรียนจากโควิด-19 โลกซัพพลายเชนจะเปลี่ยนไป ‘Agile Supply Chain’ กำลังจะมาแทนที่ระบบเก่า

โดย THE STANDARD TEAM
27.05.2020
  • LOADING...

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของซัพพลายเชนโลก ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาที่จุดหนึ่งจุดใดของซัพพลายเชน ปัญหาจะลุกลามจนทำให้ต้องยุติการผลิตตลอดทั้งซัพพลายเชนได้ จะเห็นได้จากเมื่อรัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น และปิดโรงงานทั้งหมดในช่วงปลายเดือนมกราคม-เมษายน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องหยุดการผลิตรถยนต์ตามไปด้วย 

 

เพราะชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตรถยนต์ส่วนหนึ่งมีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น นอกเหนือจากผู้ผลิตรถยนต์แล้ว อุตสาหกรรมการผลิตของโลกแทบทั้งหมดมีฐานการผลิตอยู่ที่จีน จึงทำให้อุตสาหกรรมการผลิตหลายอย่าง ตั้งแต่อุตสาหกรรมสิ่งทอไปจนถึงอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ได้รับผลกระทบจากความชะงักงันในซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นในจีนไม่มากก็น้อย

 

จากบทเรียนในครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของซัพพลายเชนโลก ที่มุ่งเน้นการผลิตเป็นจำนวนมากในประเทศที่มีต้นทุนต่ำที่สุดเพียงที่เดียว ดังนั้นผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมจึงต้องปรับเปลี่ยนซัพพลายเชน เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ‘Agile Supply Chain’ จากนี้ไปการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญต่างๆ จะเริ่มกระจายตัวอยู่ในฐานการผลิตของแต่ละภูมิภาคมากขึ้น ตลอดจนการนำระบบการผลิตแบบออโตเมชันมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับสายการผลิตสู่สินค้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดภาวะชะงักงันในซัพพลายเชนที่อื่น หรือเสริมกำลังการผลิตในกรณีที่มีการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ชั่วคราว

 

จะเห็นได้ว่าแนวคิดแบบ Agile Supply Chain จะทำให้เกิดการลงทุนในฐานการผลิตอื่นๆ นอกจากจีน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และแก้ปัญหาการชะงักงันในซัพพลายเชน สำหรับประเทศไทย เรามีโอกาสที่จะได้รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้อยู่อย่างครบวงจร ประกอบกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้เป็น Capital-Intensive Industry ที่เน้นใช้เครื่องจักรในการผลิต จึงสามารถกระจายสายการผลิตในไทย เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้โดยสะดวก

 

ส่วนอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้ Frontier Technology เช่น อุตสาหกรรมอากาศยาน อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ที่เราหวังจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมาที่ไทย จากนี้ไปคิดว่าคงเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีแนวโน้มที่บริษัทผู้ผลิตจะกระจายความเสี่ยงกลับไปที่ประเทศแม่ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีมากกว่า เนื่องจากสินค้านวัตกรรมเหล่านี้เป็นสินค้าที่ใช้แรงงานทักษะสูงในการผลิต จึงไม่สามารถจะหาฐานการผลิตอื่นทดแทนจีนได้ง่าย ดังนั้นการย้ายการลงทุนส่วนหนึ่งกลับไปที่ประเทศแม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

ส่วนอุตสาหกรรม Labor-Intensive ประเทศไทยก็คงไม่มีโอกาสในการรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากนัก เพราะค่าจ้างแรงงานของไทยสูงกว่าค่าจ้างแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV ค่อนข้างมาก หากจะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ประเทศในกลุ่ม CLMV เช่น เวียดนาม ก็น่าจะเป็นประเทศที่มีโอกาสรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากกว่าไทย

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Agile Supply Chain จะทยอยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีหน้า เพราะปีนี้เศรษฐกิจหลักทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแบบฉับพลัน ทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ของผู้บริโภคลดลงทั่วโลก และทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินของสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ มีอยู่พอสมควร ประกอบกับปีนี้ผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัวดี อุตสาหกรรมต่างๆ จึงชะลอการลงทุนไปก่อน

 

ในระยะยาว การลงทุนของต่างชาติในภาคการผลิตของไทยจะกระจุกตัวลงอยู่ในสองอุตสาหกรรมหลัก คืออุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ไทยจึงสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมาไทยลดลงได้ในอนาคต ภายใต้สมมติฐานที่การลงทุนจากต่างชาติในภาคบริการและภาคเกษตรไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนซัพพลายเชนโลก 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมจะยังได้รับมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศน้อยลงประมาณ 17% เมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ภาพรวมการลงทุนลดลง 1.3% และทำให้ผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมหดตัวประมาณ 0.3% 

 

 

 


ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X