×

ศาลแจง การร้องขอปล่อยชั่วคราวคดีอาญา ทำตามหลักสากล คำนึงสิทธิจำเลย ใช้ดุลพินิจตามกรอบกฎหมาย

โดย THE STANDARD TEAM
23.04.2021
  • LOADING...
ศาลแจง การร้องขอปล่อยชั่วคราวคดีอาญา ทำตามหลักสากล คำนึงสิทธิจำเลย ใช้ดุลพินิจตามกรอบกฎหมาย

วันนี้ (23 เมษายน) พงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามต่อการพิจารณา และมีคำสั่งของศาลยุติธรรมในการร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีอาญาในคดีบางคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมว่า ศาลยุติธรรมให้ความสำคัญกับสิทธิในการปล่อยชั่วคราวของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาตลอดมาว่าเป็นสิทธิประการหนึ่งของผู้ต้องหาในคดีอาญา ท่านประธานศาลฎีกาเองก็ให้นโยบายที่เน้นย้ำถึงการลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นในทุกขั้นตอน แต่การพิจารณาและมีคำสั่งศาลจำเป็นต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนด ประกอบกับพฤติการณ์และความจำเป็นในแต่ละคดีซึ่งย่อมมีความแตกต่างกัน

 

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ได้กำหนดให้ศาลอาจสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว หากปรากฏกรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่ออันตรายประการอื่น หรือการปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนหรือการดำเนินคดี โดยเมื่อเจ้าพนักงานหรือศาลจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ก็ต้องระบุเหตุผลโดยอ้างอิงไปยังเหตุตามกฎหมายด้วย กรณีที่เกรงว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาอาจก่ออันตรายประการอื่นนั้น กฎหมายมุ่งป้องกันมิให้จำเลยหรือผู้ต้องหาไปกระทำซ้ำในสิ่งที่ถูกฟ้องร้องหรือถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดหรือกระทำความผิดอย่างอื่น หากจำเลยหรือผู้ต้องหาคนใดมีพฤติการณ์หรือแนวโน้มที่จะกระทำเช่นนั้น และไม่มีมาตรการอื่นใดที่จะป้องกันได้ ศาลย่อมไม่อาจปล่อยชั่วคราวได้ การที่กฎหมายกำหนดในลักษณะดังกล่าว เพื่อให้ศาลชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของจำเลยกับความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้เสียหาย ชุมชน และสังคม ที่ต้องพิจารณาประกอบนอกเหนือจากสิทธิของจำเลย

 

หลักการกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันสอดคล้องกับหลักการสากล ที่การพิจารณาและมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวเป็นกรณีที่ศาลต้องพิจารณาตามพฤติการณ์แต่ละคดีภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 9 เองก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่า อาจมีการควบคุมผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างพิจารณาได้ เพียงแต่ไม่พึงใช้มาตรการดังกล่าวเป็นการทั่วไปเท่านั้น

 

“ในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ได้กำหนดไว้ใน Criminal Justice and Public Order Act 1994 และ The Bail Act 1976 กำหนดให้ศาลอาจมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวได้ เว้นแต่ในบางกรณีกฎหมายห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวในความผิดบางประเภท และศาลอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยอาจไม่กลับมามอบตัวต่อศาลหากได้รับการปล่อยตัวไป หรืออาจกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งอีกในระหว่างการปล่อยชั่วคราว ประเทศออสเตรเลียก็มีบทบัญญัติทำนองเดียวกัน” พงษ์เดชกล่าว

 

พงษ์เดชกล่าวต่อไปว่า ในการควบคุมตัวระหว่างการพิจารณา แม้จะทำให้จำเลยหรือผู้ต้องหาถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง แต่หาได้ทำให้ถึงขนาดขาดความสามารถในการต่อสู้คดีอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ จำเลยหรือผู้ต้องหามีสิทธิปรึกษาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีแก่ทนายความของตนได้อย่างเต็มที่ และอาจปรึกษาเป็นการลับก็ได้หากมีความจำเป็น ในการดำเนินคดี การสืบพยาน และซักถามพยานในกระบวนพิจารณาตามปกติ ทนายความซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีความรู้โดยเฉพาะทางกฎหมายสามารถช่วยเหลือ และเป็นตัวแทนของจำเลยหรือผู้ต้องหาได้อยู่แล้ว หากมีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ทนายความ ทนายความย่อมดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อตระเตรียมคดีในการว่าต่างแก้ต่างให้แก่จำเลยได้ เช่นเดียวกับแนวปฏิบัติในคดีทั่วๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก

 

นอกจากนี้ หากผู้ขอปล่อยชั่วคราวไม่เห็นด้วยกับคำสั่งไม่อนุญาตของศาล ก็สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลที่สูงกว่าได้ หรือสามารถยื่นขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ โดยมิได้จำกัดจำนวนครั้งของการยื่นคำร้อง ซึ่งทางปฏิบัติก็มีกรณีที่หากมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงจากเดิม แล้วศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว แม้จะเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตก่อนหน้านั้นก็ตาม เพราะการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นการใช้ดุลพินิจในกรอบของกฎหมาย ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาลจากในคำร้องหรือทางไต่สวน ดังนั้นการใช้ดุลพินิจในแต่ละคดี แม้จะเป็นข้อหาเดียวกันก็อาจจะแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ปรากฏในแต่ละคดีและแต่ละช่วงเวลาว่า ปรากฏเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตามกฎหมายหรือไม่

 

“ในปี 2563 ที่ผ่านมา จำเลยหรือผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวรวม 237,875 คดี ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวถึง 217,904 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 91.26 ย่อมแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาและมีคำสั่งของศาลยุติธรรมได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยเสมอมา และไม่ได้เป็นการพิจารณาและมีคำสั่งไปในทางใดทางหนึ่งด้วยเหตุอื่นใดนอกเหนือจากเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนด” พงษ์เดชกล่าว

 

พงษ์เดชยังกล่าวอีกว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีความต่างๆ ศาลยุติธรรมทุกศาลย่อมพิจารณา ให้ความสำคัญ และรับฟังเหตุผลและข้อต่อสู้ของทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น หากจำเลยหรือผู้ต้องหามีข้อต่อสู้หรือเหตุผลที่จะอธิบายหรือชี้แจงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหา หนทางที่ดีที่สุดคือการตระเตรียมเหตุผล ตลอดจนข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ใช้สนับสนุนร่วมกับทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายให้มีความครบถ้วนตามที่ต้องการ จึงจะทำให้ศาลสามารถนำเหตุผลและข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณาได้

 

ประการสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ศาลยุติธรรมดำเนินการเสมอมาที่จะทำให้กระบวนพิจารณาทุกๆ คดีดำเนินไปได้ด้วยความรวดเร็วภายในเวลาอันสมควร หนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย จึงน่าจะเป็นการที่ทุกฝ่ายร่วมมือตามบทบาทหน้าที่ของตนในการทำให้การดำเนินคดีดำเนินไปตามครรลองและกระบวนการที่ควรจะเป็นตามกฎหมาย เพื่อสุดท้ายแล้วศาลจะได้มีโอกาสพิจารณาพยานหลักฐาน เหตุผล และข้อต่อสู้ของทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ครบถ้วน และพิพากษาคดีได้อย่างเป็นธรรม

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X