เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร TIME ถึงนโยบายต่างๆ ที่เขาวางแผนจะทำหากเขาชนะเลือกตั้งเหนือ โจ ไบเดน และได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ ทรัมป์ถูกถามว่าหากสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 แล้ว เขาจะวางมือทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งทรัมป์ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงโอกาสที่เขาจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบทบัญญัติที่ระบุห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้เกิน 2 สมัย หรือที่เรียกว่า 22nd Amendment ซึ่งถ้าทรัมป์แก้ไขได้จริงก็จะเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บทความนี้จะชวนทำความรู้จัก 22nd Amendment ว่าคืออะไร และวิเคราะห์โอกาสที่ทรัมป์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญบทนี้ได้นั้นมีมากน้อยแค่ไหน
ธรรมเนียมการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัยถูกกำหนดขึ้นมาโดย จอร์จ วอชิงตัน
แต่เดิมนั้นรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาไม่เคยมีการกำหนดว่าประธานาธิบดีแต่ละคนจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีทุกคนก็ถือธรรมเนียมปฏิบัตินี้ เพราะหนึ่งในผู้ให้กำเนิดประเทศและประธานาธิบดีคนแรกอย่าง จอร์จ วอชิงตัน ตัดสินใจที่จะยุติการเป็นผู้นำประเทศของเขาเอาไว้แค่สมัยที่ 2 ทั้งๆ ที่เขายังได้รับความนิยมในระดับสูง และน่าจะชนะการเลือกตั้งในสมัยที่ 3 ได้ชนิดที่ไม่มีคู่แข่ง แต่วอชิงตันต้องการสร้างบรรทัดฐานให้กับระบอบการเมืองของประเทศเกิดใหม่ของเขาว่า ผู้นำของประเทศของจะมีวาระที่จำกัด ไม่ใช่การครองอำนาจตลอดชีวิตอย่างระบอบกษัตริย์ของเจ้าอาณานิคมเดิมอย่างสหราชอาณาจักร
บรรทัดฐานนี้ถูกนำมาใช้โดยประธานาธิบดีต่อจากวอชิงตันทุกคนตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างประเทศ จนมาถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อประธานาธิบดีคนที่ 32 อย่าง แฟรงคลิน เดลาโน โรสเวลต์ ได้ตัดสินใจแหกขนบด้วยการลงเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 โดยที่เขาอ้างถึงความจำเป็นที่ว่า ในขณะนั้นสหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามโลกครั้งที่ 2 กับจักรวรรดิญี่ปุ่นและนาซีเยอรมัน โรสเวลต์อ้างว่าประเทศต้องการผู้นำคนเดิมเพื่อไม่ให้ยุทธศาสตร์การรบต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างสงคราม ซึ่งชาวอเมริกันก็ซื้อแนวคิดนี้ของโรสเวลต์ และลงคะแนนเลือกตั้งให้เขาอย่างถล่มทลายอีก 2 ครั้งติดต่อกัน จนเขาเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งถึง 4 สมัย (แต่ว่าโรสเวลต์ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 4 จนจบวาระ เพราะเขาเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองเสียก่อน)
22nd Amendment
ผลจากการที่โรสเวลต์ตัดสินใจดำรงตำแหน่งมากกว่า 2 สมัยนั้นทำให้ชาวอเมริกันและนักการเมืองจำนวนหนึ่งเกิดความวิตกว่า สหรัฐฯ อาจตกอยู่ภายใต้อำนาจของเผด็จการได้ในอนาคต เพราะรัฐธรรมนูญของพวกเขาไม่ได้มีบทบัญญัติข้อไหนเลยที่จะห้ามไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งครองอำนาจสูงสุดไปตลอดชีวิต
พวกเขาตระหนักแล้วว่าขนบธรรมเนียมประเพณีทางการเมืองเพียงอย่างเดียวนั้นใช้ไม่ได้ผลกับโลกยุคใหม่ ดังนั้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก็ได้เกิดกระแสรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมากกว่า 2 วาระ จนนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 หรือ 22nd Amendment ซึ่งกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1951 และนั่นก็ทำให้ประธานาธิบดีคนต่อๆ มาไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีเกิน 2 สมัยแบบโรสเวลต์ได้อีก
ทรัมป์อาจอยากเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะเคยเป็นผู้นำสูงสุดของผู้นำโลกประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ตัวเขานั้นกลับมีแนวคิดที่ดูเหมือนเผด็จการ เขาเคยกล่าวชื่นชมผู้นำเผด็จการอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และ คิมจองอึน ของเกาหลีเหนือ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่ประการใดที่แนวคิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประธานาธิบดีมากกว่า 2 สมัยจะอยู่ในหัวของเขา และมีเสียงสนับสนุนจากสื่ออนุรักษนิยมด้วย
แต่อย่างไรก็ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะต้องอาศัยเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 จากทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร และยังต้องได้รับการรองรับจากรัฐบาลมลรัฐอย่างน้อย 3 ใน 4 (ซึ่งก็คืออย่างน้อย 38 มลรัฐ) ซึ่งก็แปลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งจะต้องเป็นฉันทมติของคนแทบจะทั้งประเทศ ทั้งฟากเสรีนิยมและอนุรักษนิยม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักการเมืองของเดโมแครตจะมาโหวตสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์กับคนที่พวกเขาเกลียดชังอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์
เกาะติด การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ได้ที่ เว็บไซต์พิเศษ : เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 และ Facebook : THE STANDARD
ภาพ: Nic Antaya / Getty Images