แผนผ่าทางตันพรีเมียร์ลีก: ตั้งแคมป์ทีม, แข่งสนามปิด, จัด ‘เมกะอีเวนต์’ ถ่ายสด 92 นัด

ย้อนกลับไปในสัปดาห์ที่แล้ว ประเด็นเรื่องการประกาศให้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ที่อยู่ระหว่างพักการแข่งขันถึงวันที่ 30 เมษายนนี้เป็น ‘โมฆะ’ เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ทั้งในหมู่ของคนในวงการลูกหนังและแฟนฟุตบอลเอง

ฝั่งที่ต้องการให้ยุติทุกอย่างลงแค่ตรงนี้ให้เหตุผลว่า ในขณะที่อังกฤษและมนุษย์ทุกคนบนโลกกำลังอยู่ใน ‘สงครามโรค’ กับโควิด-19 สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาตัวรอดให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้น ฟุตบอลไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นหรือต้องหยิบมาพูดถึงด้วยซ้ำ

พวกเขา ซึ่งตามรายงานข่าวคือ ผู้บริหารระดับสูงของสโมสรบางแห่งที่ไม่มีการเปิดเผยนาม ต้องการให้ประกาศยกเลิกฤดูกาลนี้ และให้ทุกอย่างเป็นโมฆะ แล้วไปเริ่มต้นกันใหม่ในฤดูกาลหน้า

อย่างไรก็ดี ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว การประกาศยกเลิกและให้ทุกอย่างเป็นโมฆะนั้นไม่ใช่ทางเลือกแรก ในการประชุมของ 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา สโมสรส่วนใหญ่ยืนยันที่จะแข่งขันฤดูกาลนี้ให้จบลงให้ได้ ‘ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม’

สิ่งที่มีการพูดคุยกันตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาคือ การคิดว่าพวกเขาจะต้องทำอย่างไรบ้าง จึงจะสามารถกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง

ในเงื่อนไขสำคัญที่สุดว่าทุกคนต้องปลอดภัย

ต่อเรื่องนี้ The Independent สื่อชั้นนำของอังกฤษ ได้เผยข้อมูลว่า พรีเมียร์ลีกได้มีการคิดแผนการรองรับสถานการณ์นี้เอาไว้หลายรูปแบบ โดยหนึ่งในรูปแบบที่น่าสนใจและกำลังจะกลายเป็นประเด็นในเวลาต่อมาอย่างแน่นอนคือ การจัด ‘เมกะอีเวนต์’ หรือมหกรรมฟุตบอลขนาดยักษ์ที่จะไม่มีใครได้เข้าชมในสนาม แต่ทุกคน ย้ำว่าทุกคน จะได้ชมผ่านจอแก้วที่บ้านฟรีๆ

รายละเอียดของแผนมีดังนี้

ให้นักฟุตบอลแต่ละทีม ‘เก็บตัว’ ในแคมป์เหมือนบรรดาทีมชาติในฟุตบอลโลก โดยแคมป์จะตั้งอยู่ในแถบมิดแลนด์และลอนดอนตลอดช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม
การแข่งขันใน ‘สนามปิด’ เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด
จะมีการถ่ายทอดสดเกมทั้งหมด 92 นัด ซึ่งเป็นจำนวนเกมที่เหลือในฤดูกาลนี้ (9 แมตช์เดย์ + 2 แมตช์ตกค้าง) ในแบบ ‘ทีวีเมกะอีเวนต์’ (เช่น มหกรรมลูกหนังสู้ภัยโควิด-19) ให้แก่ชาวอังกฤษทุกคนได้ดูฟรี (ปกติที่อังกฤษจะจำกัดจำนวนการถ่ายทอดสด และจะมีเฉพาะบนระบบบอกรับสมาชิกเท่านั้น)

ตามรายงานข่าว รัฐบาลอังกฤษมีแนวโน้มจะให้การสนับสนุนแผนดังกล่าวด้วยเช่นกัน เนื่องจากฟุตบอล ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของคนเมืองผู้ดี อาจกลายเป็นตัวช่วยประเทศชาติได้ในยามที่มีการปิดกั้นทุกอย่างในเวลานี้ และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อไป

อย่างไรก็ดี การจะทำแผนนี้ให้สำเร็จ นักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ของสโมสรต่างๆ จะต้องยอมรับที่จะแยกตัวจากครอบครัว โดยมาพักที่โรงแรมที่จัดไว้เฉพาะ (ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการจัดทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับชาติ)

นอกจากนี้ยังหมายถึงเจ้าหน้าที่ของพรีเมียร์ลีก ฝ่ายจัดการแข่งขัน ผู้ตัดสิน ไปจนถึงตากล้องและทีมสื่อมวลชนที่จะต้องแยกตัวออกไปด้วย โดยทุกคนจะต้องเข้ารับการตรวจว่าปลอดจากโควิด-19 หรือไม่

เพราะการมีผู้ติดเชื้อแค่คนเดียวเท่านั้น แผนทั้งหมดที่เตรียมมาจะพังทันที

ด้วยเหตุนี้ การกำหนดการแข่งในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็ย เพราะเชื่อว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายลงบ้าง ทางการน่าจะเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ และระบบต่างๆ ในการรับมือกับโควิด-19 น่าจะพร้อมกว่าในเวลานี้

สเตปต่อไปจึงค่อยคิดถึงเรื่องของการเดินทางขนส่งว่า จากแคมป์จะไปสนามอย่างไร จะมีมาตรการแบบไหน มีอะไรที่จำเป็นต้องทำและหลีกเลี่ยงบ้าง และจะต้องแข่งสนามกลางแทนไหม เพื่อตัดปัญหาแฟนบอลที่อาจมารวมตัวหน้าสนาม (เหมือนกรณีทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมงที่แฟนบอลมายืนออเต็มสนามปาร์ก เดส์ แพรงซ์ ในเกมแชมเปียนส์ลีก)

ถ้าทุกฝ่ายเห็นชอบตรงกัน ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองอีกระยะ เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องช่วยกันหาทางออก เช่น ค่าเหนื่อย, การช่วยเหลือทีมในระดับลีกล่าง, สัญญาของผู้เล่นที่จะหมดลงในวันที่ 30 มิถุนายน ฯลฯ แล้วจึงค่อยเดินหน้า

เพียงแต่ปัญหาสุดท้ายที่เป็นคำถามเล็กๆ แต่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาจะจัดหาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาประจำการตามระเบียบข้อบังคับการแข่งขันได้หรือไม่

ในเมื่อฟุตบอลยัง ‘ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด’ สำหรับชีวิต แม้มันจะอยู่ในจิตวิญญาณของชาวอังกฤษทุกคนก็ตาม

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

FYI

อีกหนึ่งในแผนทางเลือกคือ การให้แข่งแมตช์ตกค้างอีก 2 นัด คือ เกมระหว่างแอสตัน วิลลาพบเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้พบอาร์เซนอล ซึ่งเลื่อนเพราะชนกับเกมนัดชิงคาราบาวคัพ ซึ่งถ้า 2 เกมนี้แข่งขันจบ ทุกทีมก็จะแข่งครบ 29 นัด และสามารถประกาศปิดฤดูกาลแค่ตรงนี้ได้
การให้ฤดูกาลนี้เป็นโมฆะจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะหากแข่งไม่จบฤดูกาล มีโอกาสจะถูกฟ้องร้องและเสียค่าปรับมากกว่า 750 ล้านปอนด์ ซึ่งมีโอกาสที่แต่ละสโมสรจะต้องจ่ายเงินคืนตั้งแต่ 20-60 ล้านปอนด์