หลังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสภาล่ม ต่อเนื่องกัน 2 วัน ระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนและวิธีการของแต่ละขั้วการเมืองที่มีต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลานี้
- พรรคเพื่อไทย
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และผู้ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายหลัก มีคำสัญญาต่อประชาชน แต่เพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องถูกตีตก เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า สว. ส่วนใหญ่ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย จึงจำเป็นต้อง ‘เดินอ้อม’ หรือชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ นำมาสู่การไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุม และอาจมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนเพื่อความชัดเจน
- พรรคประชาชน
เป็นแนวร่วมกับพรรคเพื่อไทยที่ยืนยันว่าการทำประชามติก่อนจัดทำรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งก็เพียงพอ และไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาล แต่เมื่อเกิดเหตุที่ประชุมรัฐสภาล่ม ทำให้ไม่มีโอกาสอภิปรายแสดงความเห็น จึงวิจารณ์การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยว่าเกิดจากการไม่สามารถเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลได้
- พรรคภูมิใจไทย
ยืนยันว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ขาดความชอบธรรม และควรจัดทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา จึงประกาศไม่ขอร่วมสังฆกรรมใดๆ กับกระบวนการนี้ และถึงแม้ สส. เกือบ 70 เสียงของพรรคจะไม่ถึงกับทำให้การประชุมล่ม แต่ยังมี สว. สีน้ำเงิน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคชัดเจนกว่า 150 คน เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้กระบวนการต้องสะดุดลงด้วย
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
