เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงแนวทางสำหรับมาตรการที่รัฐบาลใหม่กำลังจะออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (วงเงิน 5 แสนล้านบาท) คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท จะได้รับเงิน 10,000 บาท ในกระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยจะมีผู้ได้รับสิทธิรวม 50 ล้านคน
โดยสามารถนำไปใช้ซื้ออาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ สินค้าออนไลน์ ทองคำและอัญมณี ชำระหนี้ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ น้ำมันและก๊าซ และแลกเป็นเงินสดไม่ได้ เงินดังกล่าวสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าลงทะเบียนที่ตั้งอยู่ในอำเภอตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านของผู้ได้รับสิทธิ โดยคาดว่าจะแจกเงินในโครงการนี้ได้ในเดือนพฤษภาคม 2567 ต้องเริ่มใช้ภายใน 6 เดือนนับจากวันเริ่มโครงการ และจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2570
ส่วนโครงการ e-Refund สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โครงการนี้จะเริ่มในเดือนมกราคม 2567
กระทบอย่างไร:
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลง 0.64%DoD ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.44%DoD
กลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน:
InnovestX Research มองว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของกลุ่มพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2567 เนื่องจากผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ตรงข้ามกับโครงการคนละครึ่ง (ปี 2563-2565) ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่สามารถเข้าร่วมได้
โครงการ e-Refund มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับอนุมัติจาก ครม. เนื่องจากมีการอนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งมาแล้ว 7 ครั้งด้วยกัน นับตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้งบประมาณรัฐบาลค่อนข้างจำกัดสำหรับโครงการนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งครั้งใหม่ ซึ่งจะสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 (เพิ่มขึ้นจาก 40,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566) จะทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย (ยอดใช้จ่ายต่อบิลสูง) ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าจำเป็น
ซึ่งประเมินได้ว่าการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งในครั้งล่าสุด (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้นจาก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2565) ช่วยกระตุ้น SSS Growth ในประเทศไทยของ CRC ได้มากที่สุดที่ 2-3%YoY ตามด้วย HMPRO ที่ 2%YoY ขณะที่ชอบ CRC, HMPRO และ GLOBAL โดยเลือกเป็นหุ้นเด่นสำหรับโครงการนี้
โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณรัฐบาลจำนวนมาก ดังนั้นความคืบหน้าในการจัดหาเงินทุนของโครงการนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม รัฐบาลวางแผนออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยจะส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในสิ้นปี 2566 จากนั้นจะส่งต่อไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติในต้นปี 2567 หากได้รับอนุมัติ InnovestX Research คาดว่าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกอาหารและวัสดุก่อสร้าง (มีสาขาครอบคลุมต่างจังหวัดจำนวนมาก) จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ขณะที่ชอบ CPALL (มีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอของประเทศไทย) และ GLOBAL โดยเลือกเป็นหุ้นเด่นสำหรับโครงการนี้
ด้านราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับตัวลดลง 9% เช่นเดียวกับ SET สะท้อนถึงยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์ที่หดตัวลง 1%YoY ใน 3Q66 เพราะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่เปราะบางของผู้มีรายได้น้อยและ Sentiment ที่อ่อนแอของผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง สืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ
เมื่อมองต่อไปข้างหน้า ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการที่รัฐบาลกำลังจะออกมากระตุ้นการบริโภคของไทย โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (คาดเริ่มเดือนพฤษภาคม 2567) และโครงการ e-Refund (คาดเริ่มเดือนมกราคม 2567) ซึ่งบ่งชี้ถึง Upside ต่อกำไรปี 2567 ของกลุ่มพาณิชย์ หุ้นเด่นคือ CRC, HMPRO, GLOBAL และ CPALL
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่