สัปดาห์นี้ถือเป็นสัปดาห์ที่ ‘ธนาคารพาณิชย์’ เริ่มทยอยประกาศผลดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกปี 2564 ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าจะได้เห็นการเติบโตของกำไรในไตรมาส 1 ปีนี้เทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว (QoQ) มากถึง 40% อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 (YoY) คาดว่ากำไรจะลดลง 30%
กรกช เสวตร์ครุตมัต นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคารและธุรกิจการเงิน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า สาเหตุมาจากไตรมาส 1 ปี 2563 ผลประกอบการกลุ่มแบงก์ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากนัก โดยในไตรมาส 1 ปีที่แล้วยังไม่มีการประกาศปิดเมืองและใช้เคอร์ฟิว แต่ไตรมาส 1 ปีนี้ เป็นไตรมาสที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังส่งผลเชิงลบต่อผลประกอบการกลุ่มแบงก์อยู่
อย่างไรก็ตาม กำไรกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 1 ปีนี้จะเติบโตจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วถึง 40% เนื่องจากไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมาหลายแบงก์มีการตั้งสำรองจำนวนมากเพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่น่าจะเกิดขึ้น อีกทั้งหลายแบงก์ได้ดำเนินการลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
“สาเหตุที่ทำให้เราจะได้เห็นกำไรกลุ่มแบงก์ดีขึ้น เพราะไตรมาส 1 จะไม่มีการตั้งสำรองที่สูงเท่ากับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ขณะที่การพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่แบงก์ไทยทำมาตลอดก็จะสะท้อนเข้ามาในผลประกอบการ”
โดยกำไรรวมจาก 7 ธนาคารที่ บล.กสิกรไทย ติดตามข้อมูล คาดว่าจะรายงานกำไรรวมกัน 2.59 หมื่นล้านบาท
ในส่วนของการขยายตัวของสินเชื่อ โดยรวมคาดว่าสินเชื่อจะหดตัว 0.5-0.6% ในปีนี้ ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายการขยายสินเชื่อที่แต่ละแบงก์เคยประกาศไว้ ขณะเดียวกัน มองไปถึงไตรมาส 2 ปีนี้ว่า มีโอกาสที่จะได้เห็นการเติบโตของสินเชื่อที่น้อยมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสาม
อย่างไรก็ตาม ระดับหนี้เสีย (NPL) ยังไม่น่ากังวลในตอนนี้ โดยปัจจุบันสัดส่วนหนี้ที่เป็นความเสี่ยงอยู่ที่ 20% ของหนี้ทั้งระบบ ซึ่งก้อนนี้มีโอกาสกลายเป็น NPL ประมาณ 5-10% คิดเป็นมูลค่า NPL ที่อาจจะเกิดขึ้น 2% และปัจจุบัน NPL โดยรวมอยู่ที่ 4% คิดเป็นมูลค่าราว 5 แสนล้านบาท หากจะเกิด NPL เพิ่มอีก 2% หรือเพิ่มเป็น 7.5 แสนล้านบาท ก็ยังอยู่ในระดับที่ Coverage Ratio ของระบบที่อยู่ที่ 150% สามารถรองรับได้
คำแนะนำลงทุนในกลุ่มแบงก์ ให้เลือกแบงก์ที่มีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ในสัดส่วนที่สูงกว่าแบงก์อื่นๆ หรือมีรายได้หลายช่องทาง อาทิ รายได้จากงานวาณิชธนกิจ และเลือกแบงก์ที่มีความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายได้ดี โดย บล.กสิกรไทย มองว่าหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ คือ SCB, KKP และ TISCO
“จังหวะนี้แนะนำให้ทยอยเข้าสะสมได้ ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์บางหุ้นก็เริ่มฟื้นขึ้นมาเกือบเต็มมูลค่า แต่เมื่อเกิดระลอกสามขึ้นราคาก็ย่อตัวลง ซึ่งเป็นโอกาสให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นแบงก์ และเชื่อว่า Journey ของราคาหุ้นก็จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ใหม่ๆ จนถึงช่วงผ่อนคลายมาตรการ”
ฝ่ายวิจัย บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เผยผ่านบทวิเคราะห์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปีนี้ จะลดลง 27% YoY แต่เพิ่มขึ้น 1% QoQ โดยคาดการณ์กำไรโดยรวมที่ 2.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มีเพียง TISCO ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปีนี้ ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เพราะตั้งสำรองเผื่อไปเยอะแล้ว
สำหรับภาพรวมกำไรสุทธิในปีนี้ เชื่อว่ากลุ่มแบงก์จะพลิกมีกำไรเติบโตได้ 8% YoY โดย BBL จะเติบโตได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม หรือกำไรเติบโต 34% YoY เพราะมีการตั้งสำรองเผื่อมาตั้งแต่ปี 2562 แล้ว
ในส่วนของสินเชื่อในไตรมาส 1 ปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เพราะสินเชื่อรายใหญ่ชำระคืนตามฤดูกาล ส่วน NPL ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน คาดว่ากลุ่มแบงก์ในไตรมาส 1 ปีนี้ จะมีกำไรรวม 2.9 หมื่นล้านบาท (-23% YoY, +3% QoQ) การลดลงใน YoY เพราะรับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า และ NIM หดตัว ส่วนการเพิ่มขึ้นใน QoQ หนุนจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์