ลอร์ด ปี 2017
Photo: Valerie Macon / AFP
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูคอนเสิร์ตหรือการออกไปลุยเที่ยวงานเทศกาลดนตรี ได้กลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์สำคัญของผู้คนทั่วโลก และนอกจากจะเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้คนที่มีใจรักในเสียงดนตรีมารวมตัวกัน เพื่อเสพบรรยากาศแห่งความสุขจากศิลปินที่พวกเขาชอบแล้ว งานเทศกาลดนตรียังถือเป็นแหล่งสร้างรายได้หรือแหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจชั้นเยี่ยมให้กับเมืองในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอีกด้วย
ปัจจุบันมีเทศกาลดนตรีระดับโลกมากมายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เช่น Glastonbury Festival (England), Reading & Leeds Festival (England), Governors Ball Music Festival (USA), Summer Sonic (Japan), Tomorrowland (Belgium), Primavera Sound Festival (Spain), Lollapalooza (USA) ฯลฯ
เช่นเดียวกับ Coachella ซึ่ง ณ ตอนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งงานเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ของคนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี ศิลปะ หรือแฟชั่น ซึ่งเราเชื่อว่ามันคือสถานที่ที่ใครหลายคนวาดฝันเอาไว้ว่า หากมีโอกาสก็อยากจะลองไปเที่ยว ไปสัมผัสกับบรรยากาศ ไปเสพงานศิลปะ และไปดูการแสดงดนตรีสดๆ ที่นั่นให้ได้สักครั้งในชีวิต
ผลงานศิลปะพองลมนักอวกาศที่งานปี 2014
Photo: David McNew / AFP
งานปี 2013
Photo: Joe Klamar / AFP
เรากำลังพูดถึง Coachella Valley Music And Arts Festival หรือที่ใครหลายคนเรียกกันติดปากว่า ‘Coachella’ หนึ่งในเทศกาลแสดงดนตรีและศิลปะที่มีชื่อเสียงโด่งดังและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
Coachella คือเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงสุดสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนเมษายน ณ เอ็มไพร์โปโลคลับ เมืองอินดิโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยงาน Coachella นั้นเรียกได้ว่าเป็นเทศกาลดนตรีที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย และในแต่ละปีก็จะมีศิลปินมากหน้าหลายตา ทั้งดังและไม่ดังมากกว่า 200 ชีวิต มาขึ้นโชว์ที่เทศกาลดนตรีแห่งนี้ โดยที่ Coachella จะมีเวทีหลักๆ อยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 เวที ได้แก่ Coachella Stage (เวทีใหญ่สุด), Outdoor Theatre, Gobi Tent, Mojave Tent และ Sahara Tent
จุดเริ่มต้นของเทศกาลดนตรี Coachella ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1993 ในงานคอนเสิร์ตของวงร็อกอเมริกันรุ่นใหญ่อย่าง Pearl Jam ที่จัดขึ้น ณ เอ็มไพร์โปโลคลับ คอนเสิร์ตครั้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก บวกกับความกว้างใหญ่ของพื้นที่ตรงนั้น และบรรยากาศที่เหมาะแก่การจัดงานเทศกาลดนตรี
สิ่งเหล่านี้เลยไปจุดประกายความคิดให้แก่ พอล ทอลเล็ตต์ และ ริก แวน แซนเทน กระทั่งทั้งสองร่วมกันก่อตั้งเทศกาลดนตรี Coachella ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1999 ซึ่งตั๋วสำหรับใช้เข้างานมีราคาเพียง 50 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
ศิลปิน กัสตาโว พราโด กับผลงานของเขา ‘Lamp Beside the Golden Door’ ในปี 2017
Photo: Valerie Macon / AFP
ผู้ชมที่โชว์ของแรปเปอร์หนุ่ม ฟิวเจอร์ ปี 2017
Photo: Valerie Macon / AFP
แน่นอนว่า ปีแรกของ Coachella ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก จำนวนของคนที่เดินทางมาร่วมงานนั้นอยู่ที่ราวๆ 37,000 คน ซึ่งถือว่าน้อย หากเปรียบเทียบกับสเกลของงานที่เป็นเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ (มาก) แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างมักไม่ง่าย โดยเฉพาะการจะสร้างเทศกาลดนตรีที่ในอีกสิบกว่าปีถัดมา มันจะกลายเป็นหนึ่งในเทศกาลที่โด่งดังและได้รับความนิยมมากที่สุด
Coachella เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียง 5 ปีแรกของการจัดงาน ก็กลายเป็นเทศกาลดนตรีที่มีคนเข้าร่วมหลักแสนคน จนเวลาผ่านมาถึงปี 2011 ก็เริ่มมีการใช้ระบบไลฟ์สตรีมถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ชื่อดังอย่าง YouTube ซึ่งนั่นหมายความว่า คนจากทั่วโลกก็สามารถที่จะรับชมคอนเสิร์ตและบรรยากาศภายในงานเทศกาล Coachella ได้แบบฟรีๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ทั้งนี้ ด้วยผลตอบรับที่ดีขึ้นทุกปี จึงทำให้ทางผู้จัดตัดสินใจเพิ่มวันเพื่อรองรับความต้องการอันมหาศาลของแฟนๆ ที่มีใจรักในเสียงเพลง จากปกติที่จะจัดขึ้นทุกวันศุกร์-อาทิตย์ของสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนเมษายนเพียงสัปดาห์เดียว เป็นเพิ่มวันศุกร์-อาทิตย์ของสัปดาห์ที่ 3 เข้าไปด้วย รวมทั้งหมด 6 วัน
วง MGMT ปี 2014
Photo: David McNew / AFP
ผลงานประติมากรรมของ เอโดอาร์โด เทรซอลดี ปี 2018
Photo: Kyle Grillot / AFP
ณ เวลานี้เราสามารถพูดได้ว่า Coachella คือหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากตลอดช่วงเวลา 15 ปีหลังสุด เทศกาลสามารถทำเงินรวมกันไปได้มากกว่า 582 ล้านเหรียญสหรัฐ (ยังไม่รวมบางปีที่ไม่เปิดเผยรายได้) แถมยอดของผู้เข้าร่วมงานก็ไม่เคยต่ำกว่า 100,000 คนเลยสักปีเดียว โดยเฉพาะในปี 2014 ที่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาร่วมงานมากถึง 579,000 คน ตลอดช่วง 2 สุดสัปดาห์ที่จัดงาน ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เทศกาลดนตรี Coachella ถือกำเนิดขึ้น ทั้งยังการันตีความยอดเยี่ยมด้วยรางวัล Top Festival 7 ปีซ้อน (2011-2017) จากสื่อดนตรีเบอร์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Billboard และยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2017 Coachella ยังสร้างสถิติสุดอลัง ด้วยการขึ้นแท่นเป็นเทศกาลดนตรีเดียวบนโลกใบนี้ ที่สามารถทำเงินทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐได้!
ความสำเร็จเหล่านี้ก็พอจะบอกเราได้ว่า Coachella นั้นเป็นเทศกาลดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากขนาดไหน แต่ว่ามันมีเหตุผลอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้คนอยากไป Coachella?
อย่างแรกเลยคือ ทัพของศิลปินในแต่ละปีที่จะมาเสิร์ฟความสุขให้กับทุกคนในงาน โดย Coachella นั้นถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลดนตรีที่มีไลน์อัพค่อนข้างโดดเด่นและมีความหลากหลายมากๆ แถมตัวศิลปินที่จะมาขึ้นโชว์ในฐานะเฮดไลเนอร์ของเทศกาลในแต่ละปีก็ต่างเป็นศิลปินระดับแม่เหล็กแทบทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ทาง Coachella ค่อนข้างให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ เรื่องของความ ‘หลากหลาย’ เพราะหากลองสังเกตดีๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินแนวร็อก, ป๊อป, แรป, ฮิปฮอป, อิเล็กทรอนิกส์ หรือไม่ว่าจะเป็นศิลปินแนวไหนก็ตาม ต่างได้รับโอกาสให้ขึ้นโชว์ที่เทศกาลแห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เราก็คงต้องขอให้ทุกคนเหลือบตาขึ้นไปดูไลน์อัพของงานเทศกาลดนตรี Coachella 2019 ที่ได้ศิลปินอย่าง ไชล์ดิช แกมบิโน, เทม อิมพาลา และ อะรีอานา กรานเด มาเป็นเฮดไลเนอร์ โดยทั้ง 3 เป็นศิลปินที่มีแนวทางดนตรีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงการติดต่อศิลปินจากประเทศเกาหลีใต้ อย่าง Hyukoh และ BLACKPINK ให้มาร่วมโชว์ในงานปีนี้ โดยเฉพาะรายหลังที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปแนว K-Pop วงแรกที่จะได้ขึ้นโชว์ที่งาน Coachella ทั้งนี้ยังเป็นเทศกาลดนตรีระดับโลกงานแรกด้วยที่ BLACKPINK จะได้เข้าร่วม
คาร์ดิ บี งานปี 2018
Photo: Kyle Grillot / AFP
วง Muse ปี 2014
Photo: David McNew / AFP
ไลน์อัพของศิลปินที่มีความหลากหลาย ถือเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่งของ Coachella เพราะยิ่งศิลปินที่จะมาร่วมโชว์ในงานมีความหลากหลายมากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้ยอมเสียเงินซื้อตั๋วมาร่วมงานมากขึ้นเท่านั้น เพราะแต่ละคนก็ฟังเพลงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
นอกจากเรื่องศิลปินแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในหุบเขา ท่ามกลางทะเลทรายโคโลราโดที่มีพื้นที่กว้างขวางถึง 600 เอเคอร์ แถมภายในงานยังรวบรวมเอางานศิลปะแขนงต่างๆ ไว้ให้เราได้เดินเที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นงานวาดประติมากรรม, งานวิชวลเอฟเฟกต์ต่างๆ รวมไปถึงงานอินสตอลเลชันและสถาปัตยกรรมสุดเท่ ทั้งนี้ ในงานยังเปิดพื้นที่ให้เหล่านักท่องเทศกาลสามารถแคมปิ้งกันได้อีกด้วย เรียกได้ว่าที่ Coachella นั้นเปรียบเสมือนสวรรค์ของคนรักการฟังเพลงและงานศิลปะที่ต้องการมาหาความสุขอย่างแท้จริง
แฟชั่นในงาน Coachella ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและมักจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ จนบางทีก็เกือบลืมไปเลยว่า นี่คือเทศกาลดนตรี เพราะหากเราลองสังเกตดูก็จะเห็นว่า ในงาน Coachella แต่ละปีนั้นจะเต็มไปด้วยเหล่าหนุ่มสาวที่แต่งตัวเท่ๆ ชิคๆ ตามแต่สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งกระแสแฟชั่นจากงาน Coachella นี่แหละที่เป็นเหมือนอีกหนึ่งตัวช่วย ทำให้ตัวเทศกาลเป็นที่รู้จักไปในวงกว้างมากขึ้น
จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายปัจจัย หลายเหตุผล แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศิลปิน, สถานที่จัดงาน, ศิลปะ, แฟชั่น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกอยากเดินทางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงาน Coachella
งานศิลปะผีเสื้อที่งานปี 2015
Photo: Robyn Beck / AFP
งานปี 2017
Photo: Valerie Macon / AFP
ปัจจุบัน Coachella Valley Music And Arts Festival ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเทศกาลดนตรีเชิงพาณิชย์อย่างเต็มตัวเป็นที่เรียบร้อย เพราะมีการทำการตลาดแบบรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดึงเอา 4 สาว วง BLACKPINK ที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกในระดับนานาชาติ และมีแฟนคลับอยู่ทั่วทุกมุมโลก เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลที่กำลังจะครบรอบ 20 ปีในปีนี้ นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการขยายขอบเขตงาน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และยังเป็นเหมือนการต่อยอดความสำเร็จ เพื่อเพิ่มผลกำไร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากในเชิงการบริหารธุรกิจสำหรับตัวผู้จัดงาน
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของจำนวนเม็ดเงินมหาศาลที่ตัวเทศกาลได้รับมาในช่วงหลายปีหลัง โดยเฉพาะปี 2017 ที่กวาดรายได้ไปมหาศาล 114 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.6 พันล้านบาท ทำให้ Coachella ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (หรืออาจในโลกเลยก็ว่าได้) โดยไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น และด้วยความสำเร็จมากมายขนาดนี้เอง ก็ทำให้มีแบรนด์หลากหลายเจ้ากล้าเข้ามาลงทุน และพร้อมจะเป็นสปอนเซอร์ให้สำหรับการจัดงานในปีต่อๆ ไป เพราะการเข้ามาลงทุนกับเทศกาลดนตรีที่การันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะประสบความสำเร็จแน่ๆ อย่าง Coachella นั้น มีแต่คุ้มกับคุ้ม หรืออย่างน้อยก็ได้มากกว่าเสีย
งาน Installation ชื่อ Spectra ในปี 2018
Photo: Kylie Grillot / AFP
เคนดริก ลามาร์ ปี 2017
Photo: Valerie Macon / AFP
ล่าสุดคณะกรรมาธิการขนส่งของ Riverside County รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐจำนวน 8.6 ล้านเหรียญ ให้นำไปสร้างรถไฟใจกลางเมืองอินดิโอ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่เหล่าผู้คนที่จะเดินทางไปยังเทศกาล Coachella โดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าเจ้ารถไฟที่ว่าจะเริ่มสร้างในเร็ววันนี้ และพร้อมใช้งานสำหรับเทศกาล Coachella ปีหน้าหรือในปี 2020
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์และแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ในปัจจุบันเทศกาลดนตรี Coachella ได้กลายเป็น ‘แลนด์มาร์ก’ สำคัญอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล และดูเหมือนว่าความสำเร็จของมันจะเพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย
สำหรับใครที่จะไป Coachella ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ก็ขอให้สนุกสนาน มีความสุข และได้สัมผัสกับประสบการณ์อันแสนวิเศษสำหรับการท่องเที่ยวเทศกาลดนตรีในฝันแห่งนี้ แล้วพอกลับมาก็อย่าลืมมาเล่าให้เราฟังบ้างล่ะว่า มันยอดเยี่ยมขนาดไหน ส่วนคนที่ไม่ได้ไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ไม่ต้องรู้สึกเสียดายหรือเสียใจไป เพราะว่าเรายังสามารถเจอกันที่ Coachella ได้
แต่เป็นการเจอกันที่หน้าคอมพิวเตอร์นะ
ซึ่งปีนี้พิเศษกว่าทุกปีสำหรับสายฟรีอย่างพวกเรา เพราะทาง Coachella เขาจะไลฟ์สตรีมให้ดูงานในยูทูบทั้งสองสุดสัปดาห์เลยด้วยแหละ ดูกันยาวๆ ไปเลย!
Cover Photo: David McNew / AFP
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- en.wikipedia.org/wiki/Coachella_Valley_Music_and_Arts_Festival
- www.billboard.com/articles/news/festivals/8501730/coachella-festival-train-service-los-angeles
- variety.com/2019/digital/news/youtube-coachella-expanded-live-streaming-partnership-1203098430/
- www.billboard.com/articles/business/8005736/coachella-festival-2017-114-million-gross
- thestandard.co/blackpink-first-female-kpop-group-coachella-2019/