×

เทรนด์ ‘เลี้ยงสัตว์เหมือนลูก’ ดันตลาดสัตว์เลี้ยงไทยจ่อทะลุแสนล้าน! CMMU ชี้คนกลุ่มนี้เปย์หนักกว่าเจ้าของทั่วไป 6 เท่า

29.09.2025
  • LOADING...
cmmu-pet-society-research-5p-model

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้เปิดเผยผลวิจัยล่าสุดในงาน Pawssible Society: Pet Society Conference 2025 ซึ่งฉายภาพอนาคตตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยที่ยังคงเป็นดาวรุ่งและเติบโตอย่างน่าจับตา โดยชี้ว่าคนยุคใหม่มีแนวโน้มเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวมากขึ้น หรือที่เรียกว่าเทรนด์ ‘Pet Humanization’ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์ว่าจะพุ่งถึง 1.01 แสนล้านบาทภายในปี 2569

 

ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ CMMU ระบุว่า ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันล้วนเป็นตัวเร่งให้เทรนด์นี้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นขนาดครอบครัวที่เล็กลง, การที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะไม่มีลูก, วิถีชีวิตคนเมืองที่นิยมอยู่คนเดียวมากขึ้น ไปจนถึงการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้คนหันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงาและมอบความสุขทางใจ

 

พฤติกรรมการทุ่มเทและทุ่มทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของสัตว์เลี้ยงนี้เอง ที่เป็นแรงหนุนสำคัญให้ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยปีละ 13.2% จากมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ข้อมูลที่น่าสนใจคือความแตกต่างในการใช้จ่าย โดยกลุ่ม Pet Humanization มีค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 50,500 บาทต่อปีต่อตัว ในขณะที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วไปมีค่าใช้จ่ายเพียง 7,910 บาทต่อปีต่อตัว

 

กระแสที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าหัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการขั้นพื้นฐานอีกต่อไป แต่ต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการเชิงอารมณ์ หรือ ‘Peace of Mind’ ที่ทำให้เจ้าของเกิดความสบายใจและมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกครอบครัว จะมีชีวิตที่ดี ปลอดภัย และมีอายุยืนยาว ซึ่งถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ

 

เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่มากยิ่งขึ้น CMMU จึงได้จัดทำโครงการวิจัยเชิงลึก เพื่อศึกษาแรงจูงใจและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 357 คน ซึ่งครอบคลุมทั้งเจ้าของสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงพิเศษ (Exotic Pets) ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ Baby Boomers, Gen X, Gen Y ไปจนถึง Gen Z เพื่อนำผลลัพธ์มาพัฒนาเป็นกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการ

 

จากการเจาะลึกพฤติกรรมการเลือกซื้อใน 4 หมวดหลัก พบว่าในด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) ผู้เลี้ยงให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุด (56%) ตามด้วยราคาที่เหมาะสม (45%) โดยมีการใช้จ่ายค่าอาหารเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อปีต่อตัว และมีกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4% ที่ยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อปี โดยมี Gen Y เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดกลุ่มนี้

 

ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) ผู้เลี้ยงนิยมใช้บริการที่คลินิก (63.3%) และโรงพยาบาลเอกชน (57.1%) โดยบริการ 3 อันดับแรกคือ การฉีดวัคซีน (86.3%), การตรวจสุขภาพ (65.3%) และการทำหมัน (61%) โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000-30,000 บาทต่อปีต่อตัว ซึ่ง Gen Z เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์เลี้ยงมากที่สุด

 

ด้านประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) พบช่องว่างที่น่าสนใจระหว่างการรับรู้และการใช้งานจริง แม้ผู้เลี้ยงกว่า 71.4% จะรู้จักผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคือความคุ้มครองที่ครอบคลุม (75.8%) และค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล โดยส่วนใหญ่ต้องการจ่ายค่าเบี้ยไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี

 

ด้านเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) ตลาดในไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่มีการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคค่อนข้างสูง โดย Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด (93%) ความคาดหวังหลักที่ผู้บริโภคต้องการจาก Pet Tech คือการทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ตัวจะอยู่ห่างไกล โดย Gen Z เป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจในเทคโนโลยีกลุ่มนี้มากที่สุดเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์

 

ประเสริฐกล่าวเสริมว่า โอกาสของตลาด Pet Tech ไม่ควรมองแค่การพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ๆ แต่ต้องเน้นการสร้างความเข้าใจ ความคุ้มค่า และความน่าเชื่อถือ เนื่องจากผู้เลี้ยงยังคงกังวลเรื่องราคาและความยุ่งยากในการใช้งาน การสร้างระบบที่เชื่อมโยงทุกการดูแลไว้ในที่เดียวจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายและเป็นโอกาสสำคัญในอนาคต

 

จากผลการวิจัยทั้งหมด ทีมวิจัยได้นำมาสรุปเป็น ‘โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P’ ซึ่งเป็นกรอบกลยุทธ์ที่มุ่งสร้าง ‘Peace of Mind’ ให้กับเจ้าของ โดยแต่ละ P สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนไป P แรกคือ Premiumization ในกลุ่มอาหารสัตว์ ซึ่งเจ้าของมองว่าการเลือกอาหารเกรดพรีเมียมไม่ใช่แค่การให้รางวัล แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาวของสัตว์เลี้ยง

 

P ที่สองคือ Prevention ในกลุ่มสุขภาพ ตลาดได้เปลี่ยนจาก ‘รักษาเมื่อป่วย’ ไปสู่ ‘ป้องกันก่อนเป็น’ การดูแลสุขภาพเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนและการตรวจสุขภาพประจำปี ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของเจ้าของที่ต้องการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด เพื่อสร้างความสบายใจว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว

 

P ที่สามคือ Package ในกลุ่มประกันภัย เจ้าของมองหาแพ็กเกจที่คุ้มครองครอบคลุมในราคาที่จับต้องได้ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่ายและตอบโจทย์จึงเปรียบเสมือนการซื้อความสบายใจและสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก

 

P ที่สี่คือ Proactivity ในกลุ่มเทคโนโลยี เจ้าของให้ความสนใจใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความผูกพันและรู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน โอกาสของแบรนด์จึงอยู่ที่การมอบประสบการณ์ที่ทำให้เจ้าของรู้สึกได้ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

 

และ P สุดท้ายคือ Protection ในด้านกฎหมาย การตระหนักรู้ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมีสูงขึ้นกว่า 79% การปฏิบัติตามกฎหมายจึงเท่ากับการสร้างความสบายใจให้กับทั้งเจ้าของและชุมชนรอบข้างว่าทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข

 

ณัชชารีย์ โชติธนะชัยพงษ์ หัวหน้าทีมวิจัย ได้ให้มุมมองว่า หากแบรนด์ต้องการสร้าง ‘Peace of Mind’ และเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้สำเร็จ จะต้องยกระดับจากผู้ขายสินค้าไปสู่การเป็น ‘ผู้ดูแล’ ที่เข้าใจความต้องการเชิงลึกและตอบสนองได้อย่างแท้จริง การสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดนี้จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวบนพื้นฐานของความไว้วางใจ


ภาพ : joke50e / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising