สำหรับใครที่เป็นเจ้าของกระเป๋าสะพายของ Chanel กำลังคิดที่จะลงทุนซื้อ หรือใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งต้องมีให้ได้ เสน่ห์ของไอเท็มนี้ไม่เพียงจะตอบโจทย์บริบทสังคมปัจจุบันเรื่องภาพลักษณ์ ที่พร้อมสร้างความว้าวและถ่ายลง Instagram ก็จะมีคนมาคอมเมนต์อิโมจิหัวใจหรือเปลวไฟ แต่หลายคนควรรู้ว่ากระเป๋า Chanel ทุกใบไม่ได้สง่างามแค่เปลือกนอก แต่มาพร้อมเรื่องราวรากฐานที่ โคโค่ ชาแนล ผู้ก่อตั้งของแบรนด์ได้ ‘ปฏิวัติ’ การแต่งตัวของผู้หญิง เพราะเธอคือดีไซเนอร์คนแรกๆ ที่ในปี 1929 ตัดสินใจว่าอยากให้กระเป๋าถือของมีสายสะพาย เพราะรู้สึกไม่ถนัดที่จะถือในมืออย่างเดียว ซึ่งในยุคนั้นก็สร้างความฮือฮา และหลายคนก็รับไม่ได้เพราะถือว่านอกเหนือขนบธรรมเนียม ซึ่งถ้าโคโค่ไม่กล้าในวันนั้น ใครจะไปรู้ว่าในวันนี้รูปทรงกระเป๋าที่เราถือกันจะเป็นอย่างไร
มาในวันนี้ สินค้ากระเป๋าก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญที่ช่วยสร้างรายได้และกระแสนิยมให้ Chanel อย่างมหาศาล และไม่ว่าจะรุ่นคุณย่า คุณแม่ พี่สาว หรือตัวเอง กระเป๋า Chanel ก็ยังถูกยกย่องว่าเป็นไอเท็มระดับไอคอนิกที่ไม่เคยดูล้าหลังและรู้สึกว่าเป็นเรื่องของเมื่อวาน โดยเฉพาะกับกระเป๋ารุ่น 11.12 ที่ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ได้ดีไซน์ครั้งแรกในยุค 80 หลังได้แรงบันดาลใจจากกระเป๋ารุ่น 2.55 ของ Coco Chanel ที่ผลิตออกมาครั้งแรกเมื่อปี 1955 ซึ่งล่าสุดกระเป๋ารุ่นนี้ก็ได้กลับมาเป็นตัวไฮไลต์และตีความอีกครั้งผ่านมุมมองของ เวอร์ฌินี วิอารด์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนปัจจุบันของ Chanel
สำหรับกระเป๋ารุ่น 11.12 ของ Chanel ทุกใบที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและเน้นความเรียบง่าย ถูกรังสรรค์ที่ Ateliers de Verneuil-en-Halatte หนึ่งในสตูดิโอผลิตงานฝีมือ Métiers d’Art ของ Chanel ที่ตั้งอยู่ในเมือง Oise ทางตอนเหนือของปารีส โดยกระเป๋าแต่ละใบต้องผ่านกระบวนการผลิตถึง 180 ขั้นตอน และใช้เวลาอย่างต่ำ 15 ชั่วโมง โดยช่างฝีมือที่มีการฝึกฝนอบรมเป็นเวลา 4-5 ปีก่อนที่จะมาทำกระเป๋าจริงได้ โดยกระเป๋ารุ่น 11.12 จะทำมาจากหนังลูกวัวลายเกรน ซึ่งเรียกกันว่า ‘หนังคาเวียร์’ สำหรับตัวคลาสสิก ส่วนในแต่ละซีซัน เวอร์ฌินีก็จะทำเวอร์ชันพิเศษออกมาอีกให้สะสม ซึ่งนำวัสดุอื่นๆ มาเล่น ทั้งผ้าเจอร์ซีย์ ผ้าทวีต ผ้ากำมะหยี่ หนังเมทัลลิก หรือแม้แต่ผ้าไหม เป็นต้น โดยสิ่งที่ยึดติดเหมือนกันหมดทุกเวอร์ชันก็คือสายโซ่ร้อยเส้นด้วยมือ ตัวล็อกโลหะรูปตัว C ไขว้ และลายควิลต์
หากศึกษารายละเอียดการรังสรรค์กระเป๋า 11.12 แต่ละใบ ก็จะเริ่มด้วยจากการตัดหนังออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความแม่นยำ โดยสำหรับแต่ละใบต้องกำหนดรอยตัดให้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ส่วนประกอบทั้งหมดสอดคล้องกัน หลังจากนั้นก็จะมีการเย็บแบบลายควิลต์บนส่วนประกอบทั้งหมดด้วยเทคนิคการเนาแบบช่างเสื้อ หรือที่เรียกว่า Point Droit de Couturiere ก่อนที่จะเย็บตัว C ไขว้ที่ด้านล่างของฝากระเป๋า
ต่อมาก็จะใช้เทคนิค ‘กระเป๋าซ้อนกระเป๋า’ เพื่อให้เป็นรูปเป็นร่างและมีมิติ โดยกระเป๋าใบที่หนึ่งจะเป็นด้านใน ส่วนกระเป๋าใบที่สองจะเป็นด้านนอก และเมื่อประกอบเข้าด้วยมือแล้ว ก็จะกลับด้านกระเป๋าโดยรอบโดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Piqué Retourné ซึ่งกลับด้านแล้วเย็บ ส่วนด้านในกระเป๋าก็จะใช้หนังสีแดงโกเมนเพื่อให้สีตัดกัน และจะทำให้หาของได้ง่ายขึ้น โดยด้านในก็จะมีช่องกระเป๋าทั้งหมด 7 ช่อง เพื่อให้ใส่ลิปสติก นามบัตร ตลับแป้ง หรือกระดาษโน้ตในช่องที่มีซิป
เห็นได้ว่าการจะทำกระเป๋าหนึ่งใบของแบรนด์ Chanel ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและอาศัยขั้นตอนมากมาย ซึ่งในหลายครั้งคนชอบสนใจประเด็นเรื่องราคาและมองว่าสิ้นเปลือง แต่เรากลับมองว่าคุ้มค่าหากคุณมีกำลังที่จะซื้อ ซึ่งก็เหมือนนาฬิกาหรูสักเรือน หรือรถสักคันหนึ่ง ซึ่งในอนาคตมูลค่าของกระเป๋าก็สูงขึ้น สามารถส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่นได้ และถือว่าเป็นการสานต่องานฝีมือที่เราคงยังต้องรักษาต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเครืองจักรและหุ่นยนต์ทำเองทั้งหมด
*สามารถชมวิดีโอการทำกระเป๋ารุ่น 11.12 ได้ที่นี่:
ภาพ: Chanel