ภายในสองปีที่ผ่านมา ชื่อของ Clare Waight Keller ก็ได้ก้าวมามีบทบาทสำคัญในวงการแฟชั่นอย่างท่วมท้นอีกครั้ง หลังเธอเคยฝากผลงานไว้ที่ Givenchy, Chloé และ Polo Ralph Lauren มาแล้ว เพราะไม่เพียงแต่ไลน์ UNIQLO : C ที่เธอออกแบบให้ UNIQLO จะเป็นที่โปรดปรานทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี เธอก็ได้รับเลือกให้เป็น Creative Director คนแรกของทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นที่เธอต้องครอบคลุมและดูแลด้านดีไซน์และภาพลักษณ์การตลาดของสินค้าเกือบทั้งหมวด
โดยล่าสุด Clare Waight Keller ก็ได้เลือกกรุงโซลเพื่อเปิดตัวคอลเลกชัน UNIQLO : C Fall/Winter 2025 พร้อมให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับทาง THE STANDARD POP เกี่ยวกับ Design Process ของเธอ จนไปถึงมุมมองที่เธอมีต่อวงการแฟชั่นลักชัวรีที่เธอเคยอยู่ ซึ่งขณะนี้กำลังถูกเป็นที่จับตามองภายใต้สถานการณ์ความกดดันของยอดขายและการเปลี่ยนแปลงของครีเอทีฟไดเรกเตอร์
คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับงาน UNIQLO : C ที่กรุงโซล?
รู้สึกดีมากเลย กระแสตอบรับเกินคาดจริงๆ หลายคนที่มาร่วมงานก็มาจากหลากหลายประเทศ มันทำให้งานดูคึกคักไปหมด แล้วสิ่งที่ชอบมากๆ คือได้เห็นทุกคนใส่เสื้อผ้าจากคอลเลกชันนี้ในแบบของตัวเอง บางคนก็จัดเต็มทั้งลุค บางคนก็มิกซ์กับสไตล์ของตัวเอง ประทับใจมากๆ ที่ได้เห็นผลงานของเรามีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ทำไมถึงตัดสินใจจัดงานเปิดตัว UNIQLO : C ที่โซล?
จริงๆ แล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฉันเดินทางมาโซลประมาณ 4-5 ครั้งแล้ว และทุกครั้งก็รู้สึกเหมือนได้ซึมซับเสน่ห์ของเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นี่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ทั้งจากแฟชั่น K-pop, K-drama, K-beauty ทุกอย่างมีอิทธิพลมากจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันอินมากเป็นพิเศษคือ street style โดยเฉพาะในย่านที่เท่ ๆ อย่าง ซองซู (Seongsu) จะเห็นคนแต่งตัวกันหลากหลายสไตล์ กล้าลอง กล้าเล่นกับแฟชั่นในแบบที่ไม่เหมือนใคร
ช่วยเล่าถึงบทบาทของการเป็น Creative Director ของ UNIQLO ว่าต้องทำอะไรบ้างนอกเหนือจากการดีไซน์ UNIQLO : C Collection
ต่างกันอย่างชัดเจนเลย โดยในฐานะ Creative Director ฉันต้องโฟกัสกับสิ่งที่เป็น “Timeless (เสื้อผ้าที่ใส่ได้ไปตลอด)” ซึ่งก็คือ UNIQLO Core Collection ดังนั้น ฉันจะเน้นไปที่เสื้อผ้าเบสิกที่ใส่ได้ทุกวันและทุกตู้เสื้อผ้าต้องมีสักชิ้นบ้างแหละ ซึ่งถ้าใครคิดว่า “อยากได้เสื้อยืดสีขาวดีๆ สักตัว” คุณจะต้องนึกถึง UNIQLO ทันทีแน่นอน การสร้างเสื้อผ้าเบสิกที่สวยและใส่ได้ทุกวันคือคอนเซปต์ที่ฉันใช้ในตอนที่ออกแบบคอลเลกชันนี้ และในแต่ละซีซันฉันก็จะเพิ่มไอเท็มใหม่ๆ เข้าไป อย่างเช่น ปรับแต่งทรงเสื้อผ้าให้ทันสมัยมากขึ้น หรือทรงกางเกงที่เน้นแฟชั่นมากขึ้น อย่างกางเกง Curved Jersey Pants ที่มี Patch Pockets (กระเป๋าแปะด้านหน้า) ก็ขายดีจนแทบจะหมดเกลี้ยงเลย รวมถึงกางเกงยีนส์ทรง Baggy ตัวใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่นกัน ดังนั้นมันจึงมีไอเท็มแฟชั่นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่เอามาเติมเต็มอยู่ในคอลเลกชันคลาสสิกทั้งหมด
การเป็น Creative Director ที่ UNIQLO แตกต่างอย่างไรจากการทำงานในแบรนด์ลักชัวรี่ที่คุณเคยทำมาก่อน
มันต่างกันเยอะ เพราะที่นี่ฉันต้องคิดในมุมที่กว้างขึ้นมากๆ โดยเฉพาะในมุมของการเป็น “ระดับโลก” ฉันต้องคำนึงถึงสภาพอากาศที่ต่างกัน รูปร่างของผู้คนที่ต่างกัน หรือแม้กระทั่งความเหมาะสมในการแต่งกายตามวัฒนธรรมด้วย เวลาที่จะออกแบบอะไร เราต้องมองผ่านเลนส์ของแต่ละภูมิภาค แล้วคิดว่าสินค้าแบบไหนที่จะกลายเป็นคอลเลกชันระดับโลกได้จริง ๆ
สิ่งนี้ทำให้วิธีคิดของฉันเปลี่ยนไปเยอะมาก เวลามองคอลเลกชันก็จะพยายามสร้างความรู้สึกที่ “เป็นสากล” ที่สุด เพื่อให้ใครก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเลือกซื้อและใส่ได้
รู้สึกอย่างไรบ้างกับสถานการณ์แฟชั่นวีคที่กำลังจะมาถึงที่เราจะได้เห็นผลงานของครีเอทีฟไดเรคเตอร์คนใหม่หลายคน
ฉันว่าน่าสนใจมาก ทุกคนต่างก็รอดูกันอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนตัวฉันรู้สึกว่าตัวเองได้ออกมาจากโลกนั้นแล้ว หมายถึงในทางที่ดีนะ เพราะกรอบความคิดในการทำงานของฉันยึด “ความจริง” เป็นหลัก คือฉันพยายามออกแบบแฟชั่นที่สวยและตอบโจทย์ให้กับทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา พยาบาล หรือคนทำงานออฟฟิศ
ดังนั้น เวลาคิดงาน ฉันจะมองผ่านเลนส์ของชีวิตจริง ไม่ใช่รันเวย์หรือพรมแดง และสำหรับฉัน การมองความเป็นจริง คือสิ่งที่ “ทันสมัย” มากที่สุด เพราะในฐานะดีไซเนอร์ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการได้เห็นผลงานได้ไปอยู่บนตัวคนจริง ๆ เช่น ตอนที่ฉันยืนอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินในลอนดอน แล้วเห็นใครบางคนข้างๆ ใส่เสื้อผ้าจาก UNIQLO ที่เรามีส่วนได้ออกแบบ ฉันรู้สึกดีใจมากจริง ๆ ทุกครั้งที่เห็นผู้คนได้สวมใส่กัน และทุกวันนี้ก็เห็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นความรู้สึกที่มีคุณค่ามาก
มีคำแนะนำอะไรถึงดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาในวงการตอนนี้บ้าง เนื่องจากตอนนี้มีทั้งความเปลี่ยนแปลง ความวุ่นวาย และแรงกดดันมากขึ้น
แรงกดดันเยอะมากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะในตลาดแบรนด์ลักชัวรี ทุกคนก็น่าจะเห็นข่าวกันอยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อก็คือ ผู้คนยังคงรักแฟชั่นและหลงใหลในการแต่งตัวอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าถ้าจะทำให้คนเข้าถึงได้ มันต้องมีความสมดุล
สำหรับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ สิ่งที่อยากบอกคือ ลองหาจุดกึ่งกลางระหว่างการสร้างชิ้นงานที่โดดเด่นสะดุดตา กับการออกแบบเสื้อผ้าที่แฟนๆ สามารถใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพราะสุดท้ายแล้ว คุณอยากให้แฟนๆ มีความสุขที่ได้ใส่ผลงานของคุณ สิ่งนี้แหละจะทำให้แบรนด์เติบโตมากขึ้น และคุณก็ยังมีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นต่อไป
เห็นว่าคุณเดินทางไปทั่วโลกเลย ตั้งแต่ลอนดอนจนถึงโตเกียว มีเคล็ดลับในการรับมือกับ Jet Lag ไหม?
อย่างแรกที่ฉันทำหลังจากลงเครื่องก็คือ ถ้าเป็นตอนกลางวัน ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอก รับแสงแดดเยอะ ๆ เพื่อปรับร่างกายให้เข้ากับเวลาของประเทศนั้นให้เร็วที่สุด แต่ถ้าลงเครื่องช่วงเย็น ประมาณ 5-6 โมง ฉันก็จะพยายามฝืนตัวเองให้อยู่ถึงราว ๆ 5 ทุ่ม แม้ว่าจะง่วงจนตาแทบปิดก็ยังพยายามฝืน เพราะถ้าผ่านคืนแรกไปได้ ร่างกายก็จะเข้ากับเวลาใหม่ได้ดี
คุณเคยมาเที่ยวที่ประเทศไทยไหม?
เคยไปแต่ก็นานมาแล้วนะ น่าจะประมาณ 10-15 ปีก่อน ไปกรุงเทพฯ 2-3 ครั้ง แล้วก็ลงไปภูเก็ตด้วย รวมถึงไปเที่ยวโซนภาคกลางมาบ้าง แต่ก็ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมากเลย เลยตั้งใจไว้ว่าจะต้องกลับไปเที่ยวให้ได้ เร็วๆ นี้แน่นอน
ถ้าให้นึกถึงอนาคตของแบรนด์ สิ่งที่คุณตั้งใจหรือเฝ้ารอมากที่สุดคืออะไร
ส่วนหนึ่งคือการต่อยอดจากสิ่งที่ทำมาแล้ว ฉันชอบไอเดีย Unisex ที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้มากๆ เพราะเสื้อผ้าหลายชิ้นสามารถใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อยากให้ทุกคนได้เห็นกันมากๆ เลย เพราะตอนที่ฉันออกแบบ ฉันสามารถทำอะไรได้แตกต่างจากเดิมมากขึ้น แทนที่จะจำกัดว่าเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงหรือผู้ชายเท่านั้น วันนี้ฉันมองว่ามันคือเสื้อผ้าที่ “ทุกคน” สามารถใส่ได้ อีกทั้งยังได้สนุกกับการจัดลุคให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายไปพร้อมๆ กันด้วย
อีกเรื่องที่สำคัญมากสำหรับฉันก็คือ Sustainability (ความยั่งยืน) ซึ่งก็พยายามนำเรื่องนี้เข้ามาในระบบนิเวศของแบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าตอนนี้เราจะเริ่มทำไปบ้างแล้ว แต่ในอนาคตฉันอยากจะผลักดันเรื่องนี้ให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิม
ภาพ: UNIQLO