เปิดปี 2567 ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่หลายคนคาดหวัง แม้จะหลุดจากสถานะ ‘หนึ่งในตลาดหุ้นที่ย่ำแย่มากที่สุดในโลก’ เมื่อปีก่อนมาได้แล้ว แต่ผลงานในปีนี้ของหุ้นไทยก็ยังคงติดลบ 2.5% พร้อมกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายต่ออีก 1.3 หมื่นล้านบาท จากที่ขายไปเกือบ 2 แสนล้านบาทในปีที่แล้ว ทำให้มูลค่าของตลาดหุ้นไทยลดลงจากราว 20 ล้านล้านบาทเมื่อต้นปี 2566 มาเหลือ 17 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาอีก 12-16 เดือนต่อจากนี้ “หุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะเซอร์ไพรส์ในทางบวก” ในมุมมองของ สิทธิโชค เตชะศิรินุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด
ย้อนไปช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หุ้นไทยติดลบไปประมาณ 15% สวนทางกับตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ปรับตัวขึ้น 7% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต่ำมาก และจากการพูดคุยกับกองทุนทั้งไทยและต่างประเทศก็มีความคาดหวังต่อตลาดหุ้นไทยต่ำเช่นกัน
นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี พร้อมกับย้ายเงินลงทุนไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ แทน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ขณะที่รายย่อยก็เทรดน้อยลง จนทำให้ Turnover ของหุ้นไทยลดลงเมื่อปี 2023 ลดลงไป 30% จากปีก่อนหน้า
ปัจจัยเหล่านี้กำลังสะท้อนให้เห็นถึง ‘ความกลัวอย่างมาก (Extreme Fear) ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าข่าวดีจะเข้ามา นักลงทุนก็ตีความว่าไม่ดี ข่าวไม่ดีมาก็ตีความให้ยิ่งแย่ลง”
สิทธิโชคกล่าวต่อว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่คาด ทั้ง GDP ที่จะฟื้นตัว และมีบางปัจจัยที่อาจสร้างเซอร์ไพรส์ในเชิงบวก เช่น การท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับมาได้แล้ว 90% ของช่วงก่อนโควิด แม้นักท่องเที่ยวจีนจะยังไม่กลับมามากนัก รวมถึงการส่งออกที่ฟื้นตัว และการลงทุนทางตรงที่มากขึ้น
นอกจากนี้ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่เชิญมางาน Conference ของ Citibank ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ก็ได้รับการตอบรับดีกว่าคาด
“ปีก่อนหุ้นไทยแย่มาก ทำให้ต่างชาติอยากมาฟังมาดูว่าสถานการณ์แย่อย่างที่เกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนตัวยังเชื่อว่าภาพรวมทั้งปีนี้ต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิได้ คำพูดหนึ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้คือ “จงกลัวเมื่อตลาดกำลังกล้า และจงกล้าเมื่อตลาดกำลังกลัว” ผมคิดว่าตอนนี้หุ้นไทยกำลังอยู่ในวิกฤตที่คนค่อนข้างกลัวและเสียความมั่นใจ”
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในมุมมองของสิทธิโชคแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- REITs หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง สวนทางกับภาพรวมของกองรีทในต่างประเทศ จนล่าสุดอัตราเงินปันผลของ REITs ในไทยบางส่วนพุ่งขึ้นไปสูงถึง 12-15% และหากอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลง จะทำให้นักลงทุนมีโอกาสผลตอบแทนเพิ่มเติมจากส่วนต่างราคา
- การแพทย์ โดยเฉพาะการแพทย์เฉพาะทางอย่างเรื่องของความงาม สุขภาพ และการมีบุตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีหุ้นเพิ่มเข้ามาในตลาดระยะหลัง และมีความต้องการสูงขึ้นไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทย แต่ยังรวมถึงต่างชาติในภูมิภาคด้วย
- อุตสาหกรรม ซึ่งได้อานิสงส์จากการขยายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติมายังประเทศไทย
คาด Fed ลดดอกเบี้ยเดือนมิถุนายน
อีกหนึ่งประเด็นทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่ทั่วโลกจับตามองคือ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ในมุมมองของ โจฮันนา ฉัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ คาดว่า Fed น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน จากเดิมที่ประเมินไว้ว่าจะเป็นเดือนกรกฎาคม และน่าจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 5 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวมทั้งปีนี้คาดว่าจะเห็น Fed ลดดอกเบี้ยลง 1.25%
ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ในเอเชียแคบลง ขณะที่การส่งออกที่ฟื้นตัวอีกครั้งจากการฟื้นตัวของกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน
โดยภาพรวมแล้ว GDP ของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ของเอเชียน่าจะเติบโตได้ 4.9% ในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เติบโต 4.6% แม้ว่าการเติบโตของจีนจะชะลอตัวลงจาก 5.2% มาเหลือ 4.6% ในปีนี้ ขณะที่ประเทศอย่างอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่จะขยายตัวได้มากถึง 7%
ประเมินเศรษฐกิจไทยโต 3.6%
นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า GDP ไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ 3.6% หนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นหลังการขึ้นค่าแรงและมาตรการการคลัง การส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว 3.3% อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้
ส่วนภาคท่องเที่ยวเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 35.2 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางจากรัสเซีย จีน อินเดีย และไต้หวัน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐว่าจะเร่งตัวขึ้นหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 หรือไม่ รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิดขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆ เข้ามาทดแทน ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันเชื่อว่า ธปท. จะยังไม่ลดดอกเบี้ยไปอย่างน้อยในครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ Citibank คาดการณ์ว่า ธปท. จะรักษาดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% ไปจนถึงปี 2568 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ