ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ Citi Group เปิดเผยรายงานคาดการณ์ทิศทางเงินเฟ้อของอังกฤษที่พบว่าแนวโน้มพุ่งทะยานทะลุ 18% ในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังเตือนว่าดัชนีราคาค้าปลีกจะพุ่งแตะระดับ 21% ในไตรมาสแรกของปี 2566
ในบันทึกรายงานการศึกษาวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 สิงหาคม) Citi ธนาคารยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ ได้อัปเดตการคาดการณ์สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 18% และดัชนีราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นเป็น 21% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 โดยอิงตามสมมติฐานของนโยบายมูลค่า 300 ปอนด์ ซึ่งจะเป็นเงินชดเชยที่ใช้กับบิลค่าพลังงานในครัวเรือนตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไปจนถึงปี 2024
รายงานระบุว่า ทาง Ofgem ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษที่มีหน้าที่กำหนดเพดานค่าไฟฟ้า จะทำการประกาศในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นเพดานค่าไฟฟ้าซึ่งจะมีผลต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนของอังกฤษตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมปีหน้าจนถึงปี 2024 ซึ่ง Citigroup คาดการณ์ว่า Ofgem จะปรับขึ้นเพดานค่าไฟฟ้าสู่ระดับ 3,717 ปอนด์ต่อปี จากระดับ 1,971 ปอนด์ต่อปีในปัจจุบัน
ขณะที่ Benjamin Nabarro ผู้ช่วยผู้อาวุโสในกลุ่มกลยุทธ์โลกและเศรฐกิจระดับมหภาค ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานดังกล่าว คาดการณ์ว่า อังกฤษจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นเพดานค่าไฟฟ้าต่อไป สู่ระดับ 4,567 ปอนด์ในเดือนมกราคมปีหน้า และปรับขึ้นอีกครั้งที่ 5,816 ปอนด์ในเดือนเมษายนปีหน้าเช่นกัน
Nabarro ระบุว่า คำถามสำคัญในตอนนี้ก็คือ นโยบายของรัฐบาลอาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างไร หลังจากที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 5 กันยายนนี้
ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่กำหนดให้สูงสุดสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 13% ในเดือนสิงหาคม Citi คาดว่าความเสี่ยงรอบๆ เงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ในปัจจุบันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงให้อยู่ระหว่าง 6-7% จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม โดยอัตราดอกเบี้ยของธนาคารในปัจจุบันของอังกฤษอยู่ที่ 1.75%
อ้างอิง: