×

CIMBT มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังสดใสขึ้น GDP ทั้งปีโตได้ 3.3% แต่ยังจับตา 3 ความเสี่ยงทำการฟื้นตัวสะดุด

27.06.2023
  • LOADING...
cimbt

ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังสดใสขึ้น ตามแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวและส่งออกที่จะพลิกกลับมาเป็นบวก แต่ยังจับตา 3 ความเสี่ยง ประกอบด้วย การเมืองในประเทศ เศรษฐกิจจีน และการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อาจทำให้การฟื้นตัวสะดุด

 

อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 มีโอกาสจะขยายตัวได้ 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมองว่าไตรมาส 4 มีโอกาสจะเติบโตเฉียด 5% เพราะฉะนั้นมองภาพเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 

 

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเร่งแรงในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจาก 3 ปัจจัย คือ

 

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นเร็วกว่าที่คาดและฟื้นเร็วกว่าที่เห็นช่วงครึ่งแรกของปี ไม่ว่าจะเป็น หลายประเทศที่เริ่มกลับมามีจำนวนนักท่องเที่ยวใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด เช่น มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้, ยุโรป และรัสเซีย อย่างไรก็ดี ต้องรอจำนวนนักท่องเที่ยวจีนให้มากกว่านี้ แต่เชื่อว่าโอกาสที่จะกลับมามีมากขึ้น ผลดีน่าจะมีต่อธุรกิจบริการกลุ่มโรงแรม, ร้านอาหาร, ขนส่ง (สายการบิน) และค้าปลีก โดยเฉพาะตลาดบน อาทิ โรงแรมขนาด 4 ดาวขึ้นไป และน่าจะเห็นการกระจายตัวมากกว่าในกรุงเทพฯ และภูเก็ต ออกไปเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น พัทยา สมุย กระบี่ เป็นต้น

 

  1. ภาคการส่งออกที่น่าจะพลิกกลับมาเป็นบวก หลังจากติดลบต่อเนื่องในช่วงต้นปี เห็นภาพการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ชิ้นส่วน น่าจะสนับสนุนให้เกิดภาคการลงทุนที่ดีขึ้น การจ้างงานที่ดีต่อเนื่อง ซึ่งสนับสนุนภาคการบริโภคอีกทอดหนึ่ง โดยกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 3 น่าจะอยู่ในกลุ่มอาหารแปรรูปและเกษตรแปรรูป โดยได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศจีนเป็นสำคัญ

 

  1. ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่น่าจะทรงตัวหรือกลับมาย่อลงเล็กน้อยตามปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ที่มีแนวโน้มจะเติบโตช้าลง โดยราคาน้ำมันที่ย่อลงน่าจะเป็นส่วนที่ช่วยลดค่าครองชีพให้คนในประเทศ สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวและลดลงต่อเนื่องได้ นอกจากนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งน่าจะช่วยลดต้นทุนภาคการเกษตรจากราคาอาหารสัตว์ที่ลดลงและภาคการก่อสร้างจากราคาวัสดุต่างๆ ที่ทรงตัวได้ แต่อาจไม่มาก เพราะปัญหาภัยแล้งจากสภาวะเอลนีโญ 

 

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 มีความเสี่ยงที่อาจทำให้การฟื้นตัวสะดุดได้ ด้วย 3 ปัจจัยเช่นกัน ได้แก่

 

  1. ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล อาจมีความล่าช้า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจคือ ต่างชาติ Wait and See รอดูก่อนก่อนที่จะกลับมาลงทุนในประเทศไทย อาจทำให้ไทยเสียโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย ในอุตสาหกรรมสำคัญๆ บางครั้งเราอาจเสียโอกาสในการเร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับชาติยุโรปหรือชาติคู่ค้าสำคัญ ส่งผลให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยพิจารณาย้ายฐานไปเวียดนามหรือประเทศอื่นได้ หากสถานการณ์ของเรายังไม่มีการเอื้อให้เกิดประโยชน์จากการตั้งฐานการผลิตในประเทศ 

 

นอกจากนี้งบการใช้จ่ายภาครัฐและงบการลงทุนภาครัฐอาจลดลงต่อเนื่องได้ กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศ เมื่อเอกชนไทยยังไม่เห็นโครงการลงทุนภาครัฐใหม่ๆ เอกชนอาจชะลอการก่อสร้างและกระทบภาคส่วนนี้ ยกเว้นคอนโดมิเนียมระดับ 3 ล้านบาทตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ยังไปต่อได้

 

  1. เศรษฐกิจโลกชะลอ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน เราเห็นภาพการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่เร่งแรงช่วงไตรมาส 1 ที่ 4.5% หลังจีนเปิดเมือง คนเร่งบริโภค แต่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ทั้งภาคการส่งออกที่พลิกกลับมาติดลบ ภาคการผลิตที่เริ่มเติบโตช้าลง รวมทั้งการใช้จ่ายของคนในประเทศเองไม่ได้แข็งแรงเหมือนต้นปี ภาครัฐเริ่มหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดดอกเบี้ยช่วงที่ผ่านมาอาจพอพยุงเศรษฐกิจได้บ้าง 

 

อย่างไรก็ดี ภาพเศรษฐกิจจีนที่เสี่ยงจะชะลอลง ปัญหาสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ที่สหรัฐฯ พยายามกดดันไม่ให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีนัก โดยเฉพาะการส่งออกของจีนในอนาคต และอาจมีแรงกดดันในภาคการผลิตของจีนอยู่ ซึ่งผลต่อภาคการส่งออกและการผลิตของจีนที่โตช้าจะกดดันภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทยได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้

 

  1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อลากยาว เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อมีแรงกดดันในระดับที่สูงอยู่ เงินเฟ้อที่หักจากราคาพลังงานและราคาอาหาร (Core Inflation) ยังลดลงค่อนข้างช้า ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะมีความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยอาจไม่ได้ขึ้นทุกรอบการประชุมหรืออาจขึ้นแล้วหยุดชั่วคราวก็ตาม ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าที่ตลาดคาดกันไว้ที่ระดับ 5.75% และโอกาสในการลดดอกเบี้ยในปีนี้อาจหายไป น่าจะเกิดโอกาสที่เงินทุนจะเคลื่อนย้ายออกจากไทยกลับไปสู่สหรัฐฯ กระทบให้เงินทุนผันผวน และทำให้บาทอ่อนค่าแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ กระทบกับค่าครองชีพในประเทศได้อีกทอดหนึ่ง 

 

ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง เพื่อประคองแรงกดดันเงินเฟ้อในอนาคต แต่อาจมองว่าเรายังไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนสิงหาคม แต่อาจเว้นวรรคเพื่อรอความชัดเจนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายทางการเมือง รวมทั้งประเมินผลกระทบจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่ยังมีอยู่ ก่อนจะปรับนโยบายทางการเงินในลำดับถัดไปในเดือนกันยายนสู่ระดับ 2.25%

 

“โดยรวมเรามองว่าการที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 จะฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวได้ชัดเจนในไตรมาส 4 ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าโอกาสของการฟื้นตัวน่าจะเป็นเชิงบวกที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.3% ตามคาด” อมรเทพกล่าว 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising