อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากที่สภาพัฒน์รายงานว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายตัว 7.5% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือ 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล และคาดทั้งปีขยายตัว 0.7-1.3% หรือเฉลี่ยที่ 1.0% สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ปรับลดการคาดการณ์ที่ให้ไว้ในเดือนกรกฎาคมที่ 1.3% ลงเหลือ 0.4% ในปี 2564 และจาก 4.2% เหลือ 3.2% สำหรับปี 2565 แต่หากสถานการณ์การระบาดยืดเยื้อกระทบภาคบริการในประเทศ และส่งผลต่อภาคการผลิตที่อาจลดลงจากปัญหาคนงานติดเชื้อจนทำให้การส่งออกลดลงจากที่คาดแล้ว เศรษฐกิจไทยมีโอกาสติดลบได้ถึง -1.1% ในปีนี้ และอาจไม่ขยายตัวเลยในปีหน้า
อมรเทพกล่าวอีกว่า หากวิเคราะห์เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า จากการระบาดที่รุนแรง ผู้ติดเชื้อรายวันในระดับสูง ซึ่งน่าจะมีผลให้รัฐบาลคงมาตรการเข้มงวดในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลากยาวไปตลอดไตรมาส 3 แม้จะสามารถเปิดกิจกรรมบางส่วนได้มากขึ้นในช่วงไตรมาส 4 แต่ภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวในประเทศยังคงไม่ฟื้นตัว เพราะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวยังต่ำ ขณะที่การกระจายวัคซีนยังไม่ครบ ไวรัสกลายพันธุ์มีผลให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ประชาชนยังคงกังวลการไปแหล่งชุมชนและเลี่ยงการเดินทาง การบริโภคภาคเอกชนปีนี้มีโอกาสติดลบเทียบปีก่อน พอมีปัจจัยสนับสนุนการบริโภคบ้างคือรายได้ภาคเกษตรขยับตัวดีขึ้นจากกำลังซื้อของคนรายได้ระดับกลาง-บน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานภาคการผลิตเพื่อส่งออกและมนุษย์เงินเดือนนอกกลุ่มท่องเที่ยวยังทรงตัว
อย่างไรก็ดี มองว่าการส่งออกยังเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย จากกำลังซื้อตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน ยังขยายตัวได้ดี ส่งผลให้การส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สินค้าเกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปยังขยายตัว แต่ต้องจับตาปัญหาการระบาดที่ทำให้คนงานติดเชื้อและมีการหยุดการผลิตชั่วคราว ซึ่งมีผลให้กำลังการผลิตลดลง และอาจทำให้การส่งออกชะลอตัวได้ อย่างไรก็ดี ปัญหานี้น่าจะได้รับการแก้ไขได้ด้วยการจำกัดจำนวนแรงงานในพื้นที่และการตรวจเชื้อคนงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการปิดโรงงานในอนาคต
นอกจากนี้ เอกชนยังพร้อมลงทุนด้านเครื่องจักร แต่อาจชะลอการลงทุนด้านการก่อสร้าง ซึ่งอาจเห็นการชะลอของภาคอสังหาริมทรัพย์ใหม่ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม แต่เอกชนน่าจะเน้นการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการคนทำงานที่บ้านที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น
“รัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางการคลังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ผ่านการใช้จ่ายและการลงทุนที่มากขึ้น เราเห็นว่าหากจะต้องกู้เพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาทก็ทำได้ เพื่อประคองเศรษฐกิจด้วยการเยียวยาชดเชยผู้ขาดรายได้ และสร้างแรงจูงใจให้แรงงานอิสระอยู่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อหากต้องไปหารายได้นอกบ้าน” อมรเทพกล่าว
อมรเทพกล่าวเสริมว่า การกู้รอบนี้อาจเสริมเศรษฐกิจระยะยาวได้สองทาง หนึ่ง คือการวางแผนให้ท้องถิ่นเลือกหาโครงการในการใช้จ่ายเงิน เพื่อสร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่ การกระตุ้นหรือลดค่าใช้จ่ายของคนผ่านมาตรการเติมเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์เมื่อการระบาดลดลง และสอง คือการใช้มาตรการทางการคลังร่วมกับมาตรการทางการเงิน ด้วยการที่คลังแบ่งเงินมาเพื่อช่วยแบกรับความเสี่ยงในกรณีสินเชื่อที่ปล่อยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจและครัวเรือนกลายเป็นหนี้เสีย ไม่เช่นนั้นมาตรการทางการเงินผ่านการปล่อยสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจก็ทำได้ช้า จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังสูง ขณะที่ทาง ธปท. ยังสามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.25% สู่ระดับ 0.25% พร้อมลดเงินนำส่ง FIDF อีก 0.23% เพื่อลดภาระหนี้ และเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ หรือคลายข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อ
ด้านค่าเงินบาท ประเมินว่ามีโอกาสอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐได้อีกในระยะสั้นถึงระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 3 นี้ แต่เมื่อ Fed มีความชัดเจนในการส่งสัญญาณการถอน QE ขณะที่การควบคุมการระบาดในประเทศ พร้อมๆ กับการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติและแนวโน้มการท่องเที่ยวในปีหน้า เงินบาทจะมีโอกาสกลับมาแข็งค่าได้ราว 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และน่าจะทยอยแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า