×

CIMB Thai สนับสนุน กนง. ลดดอกเบี้ย ไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวไปมากกว่านี้ หลังความไม่แน่นอนและความเสี่ยงขาลงมีมากขึ้น

20.02.2025
  • LOADING...
CIMB Thai

CIMB Thai เตือนแบงก์ชาติอย่ามัวแต่ระวัง พร้อมสนับสนุน กนง. ลดดอกเบี้ย ไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวไปมากกว่านี้ เปิด 5 ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงขาลงที่มีสูงขึ้น ชี้หากปรับลดก่อนสร้างความเชื่อมั่นมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สนับสนุนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 โดยชี้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะเป็นการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวไปมากกว่านี้ หรือพยายามรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจเทียบไตรมาสต่อไตรมาสให้ทรงตัว

 

โดย ดร.อมรเทพ ยังกล่าวว่า หลังจากการประชุม กนง. รอบก่อนเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ตีความได้ว่า การคงอัตราดอกเบี้ยคราวก่อน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย หรือเก็บ Policy Space ไว้ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยยามจำเป็นและตลาดมีความชัดเจน ไม่สับสนจากมาตรการการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอน ซึ่งหากทำไปล่วงหน้าแล้ว นโยบายการเงินอาจมีประสิทธิภาพด้อยลง ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและทิศทางอัตราเงินเฟ้อน่าจะขยับเข้ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม ดร.อมรเทพ เตือนว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปราวเดือนเศษ เศรษฐกิจดูเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงขาลงมากขึ้น จึงมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 2% ในรอบการประชุมที่จะถึงนี้ โดยชี้ถึงความเสี่ยงที่มากขึ้น ดังนี้

 

  1. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาด

 

หลัง GDP ไทยขยายตัวต่ำเพียง 2.5% ในปี 2567 และมีความไม่แน่นอนด้านกำลังซื้อแม้มีมาตรการภาครัฐกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ที่ยังอ่อนแอลากยาว ประกอบกับแรงส่งจากกลุ่มภาคบริการที่ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวเริ่มจำกัด เนื่องจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้เทียบกับปีก่อนไม่ได้สูงมากนักและใกล้เข้าสู่ระดับก่อนโควิด อีกทั้งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คาด

 

นอกจากนี้ ด้านการก่อสร้างภาคเอกชนยังเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจ จากทั้งการออกโครงการใหม่ที่ยังลดลง และความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ยังมีต่อเนื่องจากปัญหาด้านเครดิต แม้ในช่วงแรกเศรษฐกิจไทยจะมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ แต่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจะเริ่มมีมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จากประเด็นสงครามการค้าที่จะกระทบภาคการผลิตและลามไปสู่ภาคการบริโภค

 

  1. เงินเฟ้อเสี่ยงไม่ถึงกรอบล่างที่ 1%

 

ทั้งจากกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังอ่อนแอ จนผู้ประกอบการไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่ขยับสูงขึ้นให้ผู้บริโภคได้ และจากทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง จากความคลี่คลายด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยูเครนและตะวันออกกลาง ซึ่งจะช่วยทำให้ราคาสินค้ายังอยู่ในระดับต่ำ และไม่เข้ากรอบล่างของกรอบนโยบายการเงินที่ 1-3%

 

  1. กำลังซื้อครัวเรือนรายได้น้อยและ SMEs อ่อนแอ ห่วงลามไปกระทบธุรกิจขนาดใหญ่

 

เราเริ่มเห็นสินเชื่อที่หดตัวในธุรกิจขนาดเล็กและหลากหลายสินเชื่อภาคครัวเรือน โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์และเช่าซื้อ จนอาจกระทบสภาพคล่องของธุรกิจขนาดใหญ่ ธปท. อาจพิจารณาหามาตรการดูแลไม่ให้เกิดการลามจนกระทบภาคส่วนอื่นและสถาบันการเงินโดยรวม

 

นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อน่าจะมีส่วนสนับสนุนให้หนี้ครัวเรือนปรับตัวลดลง ทั้งระดับเทียบ GDP และมูลค่าในรูปเงินบาท ซึ่งเป็นเรื่องดีในด้านเสถียรภาพตลาดการเงินในระยะยาว และ ธปท. น่าจะคลายความกังวลในประเด็นนี้ได้ในระดับหนึ่ง จนสามารถผ่อนคลายมาตรการทางการเงินได้มากขึ้น

 

  1. ป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้า

 

สงครามการค้าน่าจะมีความชัดเจนและรุนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี รวมทั้งมีการตอบโต้จากชาติที่สหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษี จนอาจทำให้การค้าโลกอ่อนแอลง ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต การจ้างงาน การส่งออก และการบริโภคในประเทศ ซึ่งอาจต้องอาศัยมาตรการป้องกันผลกระทบหรือลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากมาตรการที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

 

  1. พยุงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐนับจากต้นปี แม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าเทียบสกุลสำคัญๆ และสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชีย จนทำให้เงินบาทดูจะแข็งค่าเทียบสกุลคู่ค้าอื่น จนทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก

 

ซึ่งหากจะใช้มาตรการทางการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็พอจะช่วยลดความน่าสนใจในการลงทุนสกุลเงินบาท โดยเฉพาะในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งพอจะช่วยให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าเทียบสกุลอื่นได้บ้าง

 

ไทยลดดอกเบี้ยก่อน Fed ได้หรือไม่?

 

ดร.อมรเทพ กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีความกังวลว่าไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้หรือไม่นั้น CIMB Thai มองว่า ธปท. สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีอิสระจากธนาคารกลางสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ แม้อาจต้องพิจารณาผลกระทบด้านความผันผวนของทุนเคลื่อนย้ายบ้าง แต่น่าจะอาศัยเครื่องมือบริหารความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในการดูแลลูกค้าและนักลงทุน

 

ทั้งนี้ CIMB Thai คาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยรอบวันที่ 18-19 มีนาคม และอาจลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในรอบวัน 17-18 มิถุนายน และ 9-10 ธันวาคมสู่ระดับ 4% ในปีนี้ ส่วน กนง. น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% ในช่วงปลายปีนี้

 

อย่ามัวแต่ระวัง ปรับลดก่อนสร้างความเชื่อมั่นมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า

 

ดร.อมรเทพ กล่าวอีกว่า หลายสำนักคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณใดๆ จาก ธปท. ถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังมีการย้ำถึงการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายหรือเก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็น

 

แต่ที่ ดร.อมรเทพ มองต่างและมองว่า กนง. น่าจะทบทวนปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากการประชุมครั้งก่อน และจากทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดการเงินในอนาคต จนน่าจะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

อีกทั้งหากไม่ได้ปรับลดในรอบนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินส่วนใหญ่ก็มองว่ามีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมหน้าในเดือนเมษายนอยู่แล้ว ดร.อมรเทพ จึงมองว่าการปรับลดก่อนน่าจะสร้างความเชื่อมั่นและมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า

 

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจไม่เห็นผลชัดเจนในช่วง 1-2 เดือน แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก ธปท. จะส่งผ่านถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในเวลาไม่นาน

 

แต่กว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะสร้างแรงจูงใจให้คนมาลงทุนเพิ่มขึ้น เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ การผลิตสินค้าและบริการ จนเกิดเงินหมุนเวียนผ่านการบริโภคที่เพิ่มขึ้น หรือส่งผ่านกลไกอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินค้าต่างๆ ยังต้องใช้เวลาราว 6-12 เดือน ซึ่งก็อาจเห็นผลทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 – ไตรมาส 4 หรือในช่วงที่ ดร.อมรเทพ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวมากขึ้น อย่างน้อยก็พอป้องกันไม่ให้ไถลลงลึกหรือพอประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้บ้าง เพราะหากรอนานเกินไปจนทุกอย่างสุกงอม มีความชัดเจน แม้จะดูเหมือนปลอดภัยในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ก็อาจทำให้เราขาดโอกาสในการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำต่อเนื่องลากยาวได้ สุดท้ายนโยบายการเงินไม่ใช่พระเอก แต่ต้องเป็นการประสานกับนโยบายการคลังที่ดูแลด้านความเหลื่อมล้ำและมาตรการอื่นๆ ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้และยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้สูงขึ้นในระยะยาวอย่างยั่งยืน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising