วันนี้ (10 ตุลาคม) จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการลงทะเบียนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า การลงทะเบียนจะเป็นการยืนยันตัวตนหรือที่เรียกว่า KYC ซึ่งในอดีตโครงการรัฐเคยมีการยืนยันตัวตนมาแล้ว ซึ่งมีฐานข้อมูลอยู่ประมาณ 40 ล้านคน แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าถูกกระบวนการอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ด้วยกฎหมายที่กำหนด ซึ่งกระบวนการยืนตัวตนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อให้ตรงกับเลขหมายบัตรประชาชนและใบหน้า
จุลพันธ์ยืนยันว่า การยืนยันตัวตนไม่เกี่ยวกับการที่จะทำให้โครงการนี้ลดขนาดลง เพราะจะลงทะเบียนหรือไม่เรารู้ทีหลัง จึงจำเป็นต้องกันวงเงินไว้ให้เพียงพอ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เชื่อได้ว่าตัวเลขอาจลดลงบางส่วน ส่วนจะเป็นเท่าไรขอไปดูความชัดเจนอีกครั้ง ขณะเดียวกันร้านค้าเองก็ต้องมีการลงทะเบียนเช่นกัน
เมื่อถามว่า หากโครงการนี้จะต้องดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 จะต้องมีการลงทะเบียนเมื่อใดนั้น จุลพันธ์กล่าวว่า เราวางแพลนไว้ว่ากลางเดือนพฤศจิกายนจะเริ่มมีการลงทะเบียนของร้านค้าก่อน
ส่วนร้านค้าจะต้องเข้ามาอยู่ในระบบบล็อกเชนหรือไม่ จุลพันธ์กล่าวว่า บล็อกเชนคือโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องใช้คำว่าบล็อกเชน เป็นการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เท่านั้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเชื่อถือได้ แต่กลไกอื่นๆ เป็นเรื่องของแอปพลิเคชันตามปกติ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีชื่อ แต่เป็นแอปพลิเคชันใหม่อย่างแน่นอน
ขณะที่สำนักวิจัยที่ทำงานให้กับกระทรวงการคลังออกมาระบุว่า ทางเลือกหนึ่งในการใช้งบประมาณคือการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจนั้น จุลพันธ์ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวและไม่เป็นความจริง จะไม่มีการลดสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ พร้อมยืนยันว่าเป้าหมายของการใช้งบประมาณยังไม่มีความชัดเจน โดยจะใช้งบประมาณเป็นหลัก เนื่องจากขณะนี้มีตัวเลือกให้รัฐบาลหลายทางเลือก แต่จะใช้ทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งงบประมาณปี 2567 อยู่ระหว่างการขอมาของกระทรวงต่างๆ ไปยังสำนักงบประมาณ ซึ่งต้องไปดูในรายละเอียดหากโครงการไหนไม่มีความจำเป็นก็จะต้องตัดออก หรือดำเนินการให้ทันในปีงบประมาณ งบที่เหลือมาก็จะนำมาใช้ในการพัฒนาลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีความจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็จะไปดูในรายละเอียดว่ามีโครงการใดบ้างที่ไม่จำเป็น
จุลพันธ์ยังกล่าวถึงการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน เรื่องที่จะมีการขยายรัศมีการใช้ออกไปถึงระดับจังหวัดนั้นว่า มีความโน้มเอียงจากการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย แต่สุดท้ายจะจบที่ใดอยู่ที่กรรมการพิจารณา
