วันนี้ (27 พฤศจิกายน) ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงแนวนโยบายการป้องกันและคุ้มครองพระพุทธศาสนาว่า ตามแนวนโยบายคุ้มครองอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นนโยบายสำคัญ มีทั้งนโยบายทางตรงและทางอ้อม จากการที่ตนเข้ามาทำงานระยะหนึ่งพบว่า มีการสอบถามถึงเรื่องที่ดินของวัด รวมถึงการเล่นแชร์ว่าทำได้หรือไม่และถือว่าทำลายพระพุทธศาสนาหรือไม่ จึงหารือจนมีข้อสรุปว่า ต้องออกมาตรการป้องกันพระพุทธศาสนา
โดยได้สั่งการให้สำนักพุทธฯ ดำเนินการ ดังนี้
- กำหนดแนวทางไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมาย เช่น การเสพยาเสพติด เล่นพนัน โดยเฉพาะในบริเวณวัด
- กำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ไม่ให้พระสงฆ์ประพฤติผิดธรรมวินัย เช่น เสพเมถุน ดื่มสุรา การใช้สื่อออนไลน์เล่นพนันหรือลามกอนาจาร
- สอดส่องไม่ให้มีการนำสิทธิทางพระพุทธศาสนาไปบิดเบือน หรือแสวงหาประโยชน์ทางพาณิชย์โดยมิชอบ
- สอดส่องติดตาม และดำเนินการเด็ดขาดกรณีแต่งกายเลียนแบบสงฆ์
- มีมาตรการดูแลพระที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่ให้ถูกกลั่นแกล้ง
- คัดกรองบุคคลที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดหรือประพฤติเสื่อมเสีย หลบหลีกการกระทำผิดหรืออาศัยผ้าเหลืองเป็นเกราะกำบัง
- ให้สำนักพุทธฯ จัดตั้งศูนย์ทุกจังหวัด หรือจังหวัดใดที่มีอยู่แล้วให้ปรับปรุงการทำงานเพื่อรับเรื่องร้องเรียนและดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที
- ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงศาสนา
อย่างไรก็ตามสำนักงานพระพุทธศาสนามีอยู่ทั่วประเทศ แต่ที่ผ่านมาเป็นการทำงานในที่ตั้งจึงสั่งการให้เปลี่ยนเป็นการทำงานแบบเชิงรุก โดยให้เข้าไปสอดส่องดูแลพฤติกรรมที่คิดว่าไม่ถูกต้องและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ให้ดำเนินการตามนโยบายเพื่อป้องกันการทำลายพระพุทธศาสนาทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม
ชูศักดิ์กล่าวอีกว่า มอบหมายให้สำนักพุทธฯ เป็นเลขานุการในการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาการใช้ที่ดินของวัดและสำนักสงฆ์ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เพราะบางกรณีไม่ใช่ที่ดินของวัดโดยตรงอาจไปรับส่วนที่ดินของรัฐหรือที่ดินอื่น จนนำมาสู่ปัญหาข้อพิพาท จึงมองว่าปัญหาเรื่องนี้ควรทำเป็นระบบ
ส่วนวานนี้ (26 พฤศจิกายน) มีการนำศพไปฝึกจิตที่จังหวัดพิจิตร ก็ต้องนำเข้ามาหารือกันว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการที่ต้องมากำกับดูแลไม่ให้เกิดขึ้น และกรณีนี้ตนก็ไม่เคยเห็นและส่วนตัวคิดว่าไม่สามารถทำได้ จึงมอบหมายสำนักพุทธฯ ไปหารือกับคณะสงฆ์ เช่นเดียวกับอีกสำนักสงฆ์ที่นำศพไปฝึกจิตและมีบุคคลเดียวกันเป็นเจ้าของ ตรวจพบรวม 71 ศพ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป เช่น ห้ามปรามไม่ให้ทำ และหากเข้าข่ายความผิดอาญาก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือหากเข้าข่ายเรื่องวินัยก็ให้คณะสงฆ์เป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อถามว่า จะยืนยันได้อย่างไรว่าเป็นการทำงานเชิงรุกจริงๆ เพราะที่ผ่านมาต้องรอให้มีข่าวก่อนถึงลงไปแก้ไขนั้น ชูศักดิ์ยืนยันว่า ปัจจุบันมีสำนักสงฆ์อยู่ทั่วราชอาณาจักร และการทำงานจะไม่ใช่แค่การไปร่วมงานหรือไปจัดงานแบบที่ผ่านมา เพราะตำรวจก็มีทีมงานติดตามและรายงานมายังตนโดยตรง
ชูศักดิ์เชื่อ พระและวัดยังเป็นที่พึ่งพิง หลังคนแห่ศรัทธา ‘ฅนตื่นธรรม’
ส่วนกรณีนักสนทนาสายธรรม ‘ฅนตื่นธรรม’ ที่ขณะนี้คนให้ความสนใจและหันไปศรัทธา จะหมายความว่าคนไม่ศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วหรือไม่ ชูศักดิ์กล่าวว่า การทำลายพระพุทธศาสนามีทั้งโดยคณะสงฆ์เองและบุคคลภายนอก ฉะนั้นคณะสงฆ์ก็ต้องไปดูตัวเอง และขออย่าเพิ่งไปสรุปว่าคนเชื่อและศรัทธาฅนตื่นธรรมมากกว่าพระ เพราะวัดยังเป็นที่พึ่งพาและเป็นสถาบันหลักของพระพุทธศาสนา เพียงแต่ให้ตระหนักว่า มีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ก็ต้องรีบแก้ไข
ขณะที่กรณีกระบวนการยาเสพติดเริ่มเข้าไปแทรกซึมในวัดนั้น ชูศักดิ์กล่าวว่า ต้องมีมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือลูกศิษย์วัดที่ใช้วัดเป็นแหล่งเสพยาเสพติด ส่วนถึงขั้นแลกตรวจปัสสาวะหรือไม่นั้นก็เคยมีและหากตรวจพบก็ต้องให้ลาสิกขาทันที แต่ความจริงต้องมีการตรวจสอบไม่ให้บวช