วันนี้ (26 มกราคม) ที่อาคารรัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการขับ 21 ส.ส. กลุ่ม ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะส่งผลต่อการทำงานต่อฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่นั้น ต้องยอมรับว่าข้อเท็จจริงของระบบสภาเป็นระบบใช้ระบบเสียงข้างมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้สัดส่วนของเสียงข้างมากแปรปรวน และ 21 ส.ส. จะกลายเป็นตัวแปรในการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทันที และส่งผลต่อองค์ประชุมด้วย ซึ่งหาก 21 ส.ส. แปรปรวนไปด้านใดด้านหนึ่งจะมีปัญหามาก
นพ.ชลน่านกล่าวว่า หากจะให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่เป็นองค์ประชุมแทนเสียงข้างมากนั้นไม่เห็นด้วย โดยฝ่ายค้านได้ประกาศไปแต่แรกแล้วว่า หากจะทำหน้าที่ในสภาในระบบเสียงข้างมาก จะต้องไปเสียงข้างมากที่แท้จริง ฝ่ายค้านจะไม่สนับสนุนให้เสียงข้างน้อยมาเป็นผู้บริหารประเทศนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อหลักประชาธิปไตยที่ปกครองโดยเสียงข้างมาก เคารพเสียงข้างน้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเสียงข้างมากจะทำหน้าที่อย่างไร หากคำนึงถึงประเทศชาติบ้านเมือง เห็นแก่กฎหมายที่สำคัญก็ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน ฝ่ายค้านและเสียงข้างน้อยพร้อมปฏิบัติหน้าที่หากเสียงข้างมากพร้อมที่จะทำงานร่วมด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากผลการพิจารณากฎหมายสำคัญไม่ผ่านสภา จะมีการเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบหรือไม่นั้น นพ.ชลน่านกล่าวว่า ตามข้อเท็จจริงไม่ควรมีการเรียกร้อง ถึงแม้กฎหมายที่ไม่ผ่านสภาอาจไม่ใช่กฎหมายที่ไม่สำคัญนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมในการเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายบริหาร จึงควรแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน โดย 1. นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีประกาศลาออก 2. การประกาศยุบสภา โดยฝ่ายค้านพร้อมที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อตัดสิน
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้วิธีการที่ 3. คือการยึดอำนาจหรือรัฐประหาร เนื่องจากขณะนี้มีแนวโน้มออกมาว่าจะเลือกใช้วิธีที่นี้ โดยขอเรียกร้องไปยังผู้ที่มีอำนาจว่าไม่ควรคิดใช้วิธีการนี้ ซึ่งฝ่ายค้านไม่มีอำนาจที่จะไปยับยั้งการใช้วิธีการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียหายเป็นอย่างมาก และอาจเกิดการลุกขึ้นมาต่อต้านจากประชาชนได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้น สถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้จะย่ำแย่กว่าเดิม ซึ่งเมื่อยึดอำนาจแล้วหากหวังว่าจะกลับมาบริหารจัดการประเทศได้ดังเช่นสถานการณ์ปกตินั้นไม่สามารถเป็นไปได้ และต่างประเทศจะไม่มีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยด้วย