วันนี้ (24 พฤษภาคม) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาโพสต์ว่า ตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลเท่านั้น จะลดเพดานเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นของคนที่น่าจะถือว่าเป็นคนทั่วไปก็ได้ หรือจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ได้ เพราะตอนนี้เรายังไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องของตำแหน่งต่างๆ แต่ในมุมของตนมองว่าเป็นการกดดัน ปิดช่องไม่ให้มีการพูดคุยกัน ซึ่งดูแล้วเหมือนไม่ค่อยบวกเท่าไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตามหลักการตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคเสียงข้างมากหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า มันอยู่ที่การตกลงพูดคุยกัน ดูเรื่องของความเหมาะสม แต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน อย่างสมัยประธาน อุทัย พิมพ์ใจชน เขามี 3 เสียงยังได้เป็นประธานสภา และไม่ขอวิจารณ์ว่าชื่อที่ออกมาจากพรรคก้าวไกลมีประสบการณ์ทำงานน้อยหรือมากเพียงใด เพราะในมิติทางการเมือง การไปพูดถึงประสบการณ์มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าคนที่ประชาชนเลือกมาย่อมมีความรู้ความสามารถ มีวุฒิภาวะ
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ในพรรคเพื่อไทยมีบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นประธานสภาใช่หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่อยู่มานานกว่า 20 ปี มีบุคลากรที่ผ่านการทำงานมาเยอะ แต่ไม่ขอบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะจะเป็นการกดดันหลายฝ่าย แต่บทบาทหน้าที่มันชัดอยู่แล้ว ในรัฐธรรมนูญก็มีระบุไว้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ถ้าตอบไปอาจจะไปเป็นประเด็นกระทบคนอื่น ยืนยันว่ายังไม่ได้พูดคุยกัน ต้องรอพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นผู้นัดหมาย เพราะเราให้พรรคแกนนำเป็นผู้มีสิทธิเต็มที่ เราจะไปกำหนดหรือกดดันเขาไม่ได้
ด้าน อดิศร เพียงเกษ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีปิยบุตรว่า ทุกสิ่งทุกตำแหน่ง ท่านจะกินรวบไปหมดโดยเข้าใจว่าตัวเองมีเสียงข้างมาก ความเป็นจริงมี 152 เสียง ทั้งที่ยังเป็นเสียงที่ไม่ได้เกินครึ่ง ถ้าอยากได้ทุกตำแหน่งต้องทำให้ได้เหมือนพรรคไทยรักไทย 377 เสียงที่จะชี้เป็นชี้ตาย
“พรรคเพื่อไทยยินดีที่จะสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี นี่คือประเพณีของระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่ได้ไข่เป็ดไข่ไก่ ไม่ใช่ว่าได้ฝ่ายบริหารแล้วจะไม่ให้พรรคอื่นไปดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติต้องดูความเหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา เช่น บางครั้ง ชวน หลีกภัย อดีตประธานสภา มีเสียง ส.ส. แค่ 60 เสียง ยังดำรงตำแหน่งได้ หรือในกรณี อุทัย พิมพ์ใจชน ที่มีเพียง 3 เสียงก็ยังเป็นประธานสภาได้ ด้วยความเหมาะสมปอนด์ต่อปอนด์แล้ว บุคลากรของทั้ง 2 พรรค ตนคิดว่าบุคลากรของพรรคเพื่อไทยน่าจะมีความเหมาะสมในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า” อดิศรกล่าว
อดิศรยังยืนยันด้วยว่า ข่าวที่ออกไปไม่ใช่การแก่งแย่งกันทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคประชาธิปไตยทั้งคู่ ตนจึงคิดว่าควรไปโหวตตำแหน่งนี้ในสภา และฝากไปยังปิยบุตรว่าขณะนี้เป็นสังคมเทคโนโลยี กฎหมายที่จะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ ต้องทำตามข้อบังคับ ถ้าจะเป็นรัฐบาลอย่าห่วงเรื่องเล็ก
“ตนขอสอนหน่อยในฐานะที่ปิยบุตรเป็นรุ่นน้อง ขอแตะมือกันนะน้องจ๋า ไม่ได้สักตำแหน่งก็ไม่ล้มเสียหายตายเสียจาก” อดิศรกล่าว
ทั้งนี้ กรณีปิยบุตรไม่เห็นด้วยที่ MOU ไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 อดิศรกล่าวว่า ตนคิดว่าปิยบุตรควรไปพูดคุยกันในพรรคก้าวไกล เพราะในการหาเสียงของพรรคก้าวไกลมีการนำเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 มาหาเสียงจนได้ชัยชนะ จึงเป็นห่วงว่ากลุ่มประชาชนที่สนับสนุนจะมองว่าสู้ไปโกหกไปหรือไม่ จึงเป็นห่วงภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล ยังไม่เป็นรัฐบาลเลยก็ทำแบบนี้เสียแล้ว