1 สัปดาห์กว่าของปมปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดความตึงเครียดขึ้น นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคม ที่มีการรายงานการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในบริเวณพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา 10 นาทีก่อนจะเจรจายุติการปะทะลงได้ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลทำให้ทหารชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย
สาเหตุของการปะทะในครั้งนี้เกิดจากการที่ทหารฝั่งกัมพูชาขุดคูเลตเพื่อตั้งจุดตั้งกำลังความยาวประมาณ 650 เมตรในพื้นที่ที่มีการตกลงกันว่าห้ามมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ซึ่งฝั่งไทยมองว่าการกระทำนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (MOU 43) ซึ่งทำให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างพื้นที่ชายแดนขึ้น
สำหรับพื้นที่ช่องบกนั้น ตั้งอยู่ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมมรกต (Emerald Triangle) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว ช่องบกไม่เพียงแต่เกิดการปะทะระหว่างประเทศกันแค่ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ในอดีตเมื่อปี 2528-2530 ช่องบกเคยเกิดเหตุความขัดแย้งรุนแรงเรียกว่า สมรภูมิช่องบก ระหว่างไทยและเวียดนามที่เข้ายึดครองกัมพูชาในขณะนั้น และได้รุกรานเข้ามาพื้นที่ของไทย ด้วยลักษณะภูมิประเทศบริเวณนั้นที่เป็นป่าทึบและเป็นแนวเทือกเขาพนมดงรักทอดยาวตามแนวชายแดน ทำให้การสู้รบในครั้งนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก
แม้ท้ายที่สุดฝ่ายทหารไทยจะสามารถขับไล่กองกำลังของเวียดนามออกจากพื้นที่ไปได้หลังจากยืดเยื้อมากว่า 2 ปี แต่ก็แลกมากับการสูญเสียทหารจำนวน 109 นาย ผู้บาดเจ็บอีก 664 นาย และใช้กระสุนปืนใหญ่มากถึง 21,791 นัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาข้อพิพาทระหว่างเขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านที่มีมาเป็นระยะเวลานาน
เหตุการณ์ข้อพิพาทในปัจจุบันนั้น เริ่มตึงเครียดเพิ่มขึ้นเมื่อ สมเด็จฮุน เซน (Hun Sen) ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1 พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเป็นดินแดนของกัมพูชา เนื่องจากกองกำลังทหารกัมพูชาได้ประจำการในพื้นที่นี้มานานนับสิบปีก่อนจะมีการลงนามในข้อตกลง MOU 43 โดยมีองค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติ (UNTAC) ของกัมพูชาสามารถเป็นพยานยืนยันได้ และหากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติลงได้ กัมพูชาจะขอยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้เป็นผู้ตัดสินคดีความ พร้อมย้ำว่าอย่าลืมว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่ 2 สมเด็จฮุน เซน แสดงหลักฐานว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา โดยการโพสต์ภาพถ่ายตนเองขณะสวมชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชากับภรรยาที่ศาลาตรีมุขเมื่อ 15 ปีก่อน พร้อมกล่าวว่าหากพื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่ของกัมพูชาจริง จะสามารถสวมเครื่องแบบทหารของกัมพูชาไปถ่ายรูปได้อย่างไร ทั้งนี้ ศาลาตรีมุขได้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทย กัมพูชา และลาวหลังจากเหตุการณ์สมรภูมิช่องบกยุติลง
ประเด็นที่ 3 กัมพูชาไม่สามารถถอยกำลังทหารออกจากพื้นที่ของตัวเองได้เพียงเพราะมีคำเรียกร้องจากไทย ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2554 กรณีปราสาทเขาพระวิหาร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เรียกร้องให้กัมพูชาถอนกำลังออกจากพื้นที่ แต่ฝั่งกัมพูชามองว่าฝ่ายที่รุกล้ำเขตแดนควรจะต้องเป็นฝ่ายถอย ซึ่งหากตนเองถอนกำลังก็อาจเป็นการยอมรับว่าพื้นที่นี้เป็นของไทย
ต่อมาภายในคืนวันเดียวกันนั้น สมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า มีชาวไทยหัวรุนแรงบางคนได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและโพสต์ดูหมิ่นเพื่อปลุกปั่นทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองรัฐบาล จึงได้บล็อก IP Address ผู้ใช้งานจากไทยให้ไม่สามารถเข้าชมหน้า Facebook ของเขาได้อีก
ด้านการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ทั้งสองประเทศมีการตกลงที่จะใช้การเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) ซึ่งเป็นการประชุมเจรจาเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหว่างสองประเทศ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน ที่กรุงพนมเปญ
แต่ในช่วงเช้าวันที่ 5 มิถุนายน รัฐบาลกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ว่า ฝั่งรัฐบาลกัมพูชาจะไม่นำเรื่องข้อพิพาทบริเวณช่องบก รวมถึงพื้นที่โดยรอบ คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นเจรจาในการประชุม JBC และมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าต้องการให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นผู้ตัดสินข้อพิพาทนี้
ต่อมาในเวลา 17.00 น. วันเดียวกันนั้น ทางรัฐบาลไทยก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน ยืนยันที่จะใช้กลไกการประชุม JBC ในการหารือ และการเจรจาจะจำกัดแค่ข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ช่องบกเท่านั้น
นอกจากนี้กองทัพบกไทยได้ออกแถลงถึงกรณีแถลงการณ์จากรัฐบาลกัมพูชาที่พาดพิงถึงฝั่งทหารไทยว่าเป็นฝ่ายเปิดฉากการปะทะก่อนนั้น โฆษกกองทัพบก พล.ต. วินธัย สุวารี กล่าวว่าไม่เป็นความจริงและยืนยันว่าเป็นในลักษณะการป้องกันตัวระดับบุคคล เนื่องจากฝ่ายทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ประเทศไทยและได้ใช้อาวุธตอบโต้จึงเกิดการปะทะ ยังยืนยันว่าฝั่งประเทศไทยจะใช้กลไกการเจรจาอย่างสันติ แต่ก็มีการเตรียมพร้อมต่อปฏิบัติการทางทหารในระดับสูงในกรณีจำเป็นหากมีการรุกรานอธิปไตย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลกรณีการร่วมหารือกับ พล.อ. เตีย เสฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และคณะในวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า เป็นการพูดคุยถึงการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ย้ำว่าไทยไม่อยากเห็นสงครามและจะไม่นำเรื่องเข้าสู่ศาลโลกตามที่ได้แถลงการณ์
ภูมิธรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อเสนอของฝ่ายไทยคือให้ถอยกำลังทหารกลับไปอยู่ตรงพื้นที่ศาลาตรีมุข ซึ่งห่างจากจุดปะทะราว 150-200 เมตรตามข้อตกลงที่เคยมีร่วมกัน และขอให้การเจรจาเกิดขึ้นภายใต้กรอบการหารือในการประชุม JBC หากยังไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ก็ขอให้ตัวแทน JBC ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อหาข้อเท็จจริงร่วมกัน โดยทางฝั่งกัมพูชากล่าวว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ และได้ฝากนำเรื่องไปเรียนสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ. ฮุน มาเนต ให้พิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กรมการปกครองได้ออกหนังสือการกำชับแนวทางการปฏิบัติงานในสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด คือ ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และมีอำนาจสั่งอพยพได้ทันทีหากสถานการณ์ลุกลาม
ไชยวัฒน์ จุนภิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า มีการเตรียมพร้อมรับมือและมีแผนซ้อมการอพยพอยู่แล้ว แต่ต้องมีการกำหนดจุดอพยพที่ชัดเจนเนื่องจากในบางพื้นที่ก็ยังไม่มีหลุมหลบภัยที่เพียงพอ ส่วนการอพยพ เด็ก สตรี และผู้สูงอายุนั้น ให้แต่ละพื้นที่เป็นผู้พิจารณา โดยในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะลงพื้นที่พูดคุยกับผู้นำท้องถิ่น ในจังหวัดอุบลราชธานีด้วย
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อหารือในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าสถานการณ์ยังเรียบร้อยดี ฝ่ายกองทัพและรัฐบาลมีการปรึกษากันตลอดก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ส่วนเรื่องการเจรจาแม้จะยังไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมดแต่ ณ ขณะนั้นทางรัฐบาลก็ยืนยันเช่นเดิมว่าสถานการณ์ยังไม่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เวลา 07.00 น. ได้ออกแถลงการณ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการหารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาในสถานการณ์ชายแดนนั้น มีข้อมูลบางประการที่คลาดเคลื่อนจากการที่ได้หารือในที่ประชุม พร้อมทั้งกล่าวว่า เป็นที่น่าเสียดายที่ข้อเสนอที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่การลดการเผชิญหน้าและสันติภาพถูกปฏิเสธ และการเพิ่มกำลังทางการทหารยิ่งเพิ่มความตึงเครียด ทำให้ทางฝั่งไทยเองจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการและเสริมกำลังด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ภูมิธรรมได้เน้นย้ำจุดยืนในแถลงการณ์ว่า ไทยจะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตยและสนับสนุนกองทัพให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังเพื่อคำนึงถึงชีวิต ความปลอดภัย ความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ชายแดน และยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และจะใช้กระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีตาม MOU 43 ในการประชุม JBC เพื่อหาทางออกอย่างสันติวิธี นอกจากนี้ไทยยังขอเน้นย้ำในจุดยืนเดิม คือขอให้มีการปรับกำลังในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายให้กลับสู่ที่ตั้งเดิมตามการปฏิบัติ ในปี 2567 เพื่อลดการยกระดับความตึงเครียดและการเผชิญหน้า
ในวันเดียวกันนั้น พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจในการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสามารถพิจารณากำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จำเป็น ให้เหมาะกับสถานการณ์ตามลำดับขั้นความเข้มงวดในแต่ละพื้นที่
โดยการออกมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทยหลายครั้ง แสดงท่าทีที่ยั่วยุอย่างเปิดเผย และเสริมกำลังจัดตั้งฐานทหารใกล้ชายแดน ทำให้ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อนรักษาผลประโยชน์และความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามแนวชายแดน
แต่กระนั้นทำให้ต้องติดตามต่อไปเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีท่าทีที่ต่างกันออกไป ว่าการประชุมในวันที่ 14 มิถุนายนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะสามารถหาข้อสรุปได้หรือไม่
กัมพูชาวางเกมรุกกดดันไทย แนะเปิดโปงพฤติกรรมละเมิด MOU 43
ผศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า สถานการณ์ที่กัมพูชากำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนทั่วๆ ไป แต่เป็นการวางแผนและเสริมสร้างยุทธศาสตร์กดดันไทยในหลายมิติ
เช่น มิติทางการทูต ทางกฎหมาย ทางจิตวิทยา และการปฏิบัติการทางวัฒนธรรม เพื่อผนวกดินแดนไทยให้กัมพูชาได้อาณาเขตเพิ่ม และแนะนำว่าไทยไม่ควรตอบโต้ไปที่รัฐบาลกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปิดโปงพฤติกรรมของกัมพูชา เช่น ทหารกัมพูชาได้ละเมิดกรอบ MOU 43 โดยการตั้งใจเข้ามาขุดคูเลตหรือสร้างสิ่งปลูกสร้างทางทหารในพื้นที่สันติภาพหรือลึกเข้ามาในพื้นที่ดินแดนไทยหรือไม่
ซึ่งปัจจุบันกัมพูชายังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้และพยายามข้ามขั้นตอนการเจรจาในที่ประชุม JBC โดยดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลกพร้อมกับกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้รุกราน และควรย้อนไปถึงพฤติกรรมเหตุการณ์ในอดีตคือเหตุการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ที่มีรูปแบบการดำเนินการถึงศาลโลกเช่นเดียวกับในตอนนี้
JBC คืออะไร ทำไมไทยถึงยึดเป็นหลักเจรจาที่สำคัญ
JBC หรือ Joint Boundary Committee จัดตั้งขึ้นในปี 2540 ตามคำแถลงร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างถาวร และเป็นกลไกหลักในการเจรจา การสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ โดยในปี 2538 ได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือชายแดน ทำให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ คือ
- คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมทุกปีโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ
- คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค แบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการ ได้แก่
- ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
- ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนภาคตะวันออกตอนบน คือ สระแก้ว
- ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง คือ จันทบุรีและตราด
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ระหว่าง พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย และ พล.อ. เมา โซพัน ผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชา ได้มีข้อตกลงกันใน 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
- การถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
- ใช้หลักกลไก JBC ในการแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องเขตแดนและประเด็นทางกฎหมาย
- ร่วมมือกันป้องกันความขัดแย้งในอนาคต และยึดตามหลักข้อตกลง MOU 43 หรือสนธิสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
แม้บรรยากาศระหว่างการเจรจาในวันนั้นดูจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ภายหลัง สื่อข่าวของกัมพูชา CambodiaNess ได้รายงานถึงประเด็นที่ 4 เพิ่มเติมขึ้นมา คือ ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ขัดแย้ง พร้อมกับรายงานว่าสื่อข่าวไทยไม่ได้นำเสนอประเด็นนี้ด้วย และต่อมากัมพูชายังประกาศยื่นเรื่องกรณีข้อพิพาทนี้สู่ศาลโลก ในขณะที่ไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ปี
2503
ศาลโลกมีหน้าที่อะไร ทำไมไทยไม่ยอมรับอำนาจ
ศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2489 มีหน้าที่หลักคือพิจารณาและพิพากษาคดีข้อพิพาทระหว่างรัฐ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งศาลจะรับพิจารณาคดีก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายยอมรับในเขตอำนาจของศาลเท่านั้น
ในกรณีข้อพิพาทของไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่ขัดแย้งแนวชายแดน 4 จุดนี้ กัมพูชาพยายามยื่นเรื่องเข้าสู่ศาลโลก แต่ไทยได้ประกาศอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่ยอมรับในขอบเขตอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีมติยืนยันอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก และได้กำหนดให้การทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศทุกฉบับจะต้องระบุข้อยกเว้นเรื่องการยอมรับอำนาจของศาลโลกอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
ต่อมาในรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้แสดงจุดยืนนี้อีกครั้ง โดยประกาศอย่างชัดเจนว่า ในข้อพิพาทกับกัมพูชานั้นจะใช้วิธีการดำเนินการเจรจาผ่านกลไก JBC เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยยังคงยืนยันไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกในการตัดสินข้อพิพาทเขตแดนกับกัมพูชา อาจสะท้อนถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กรณีเขาพระวิหาร ซึ่งไทยยอมเข้าสู่เวทีการพิจารณาของศาลโลกถึง 2 ครั้ง แต่ผลการตัดสินของศาลคือการให้ไทยแพ้คดีทั้งสองครั้งเช่นกัน
ทำให้ส่งผลต่อท่าทีของไทยในปัจจุบัน เพราะข้อพิพาทเรื่องเขตแดน และการตัดสินบนเวทีศาลโลกย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้ไทยต้องยอมเสียพื้นที่หากผลการตัดสินไม่เป็นไปตามที่คาด นั่นหมายความว่าไทยจะต้องเสียดินแดนไปอีกพื้นที่หนึ่ง
ดังนั้น การยืนยันว่าจะใช้กลไกการเจรจาผ่านการประชุม JBC จึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ โดยเฉพาะหากการเจรจาสามารถนำไปสู่ข้อตกลงร่วมที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่ในขณะเดียวกัน การที่กัมพูชายังคงยืนยันจะดำเนินการยกเรื่องถึงศาลโลกนั้น ก็อาจเป็นเพราะว่าการเคยชนะคดีความเขาพระวิหารมาก่อนถึง 2 รอบ และการมีหลักฐานทางเอกสารจากฝรั่งเศสซึ่งเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชามาก่อนและเป็นผู้วาดแผนที่เขตแดนในภูมิภาคที่สำคัญอีกด้วยเช่นกัน
ทำให้กัมพูชาคิดว่านี่คือสิ่งที่ตนเองได้เปรียบหากขึ้นสู่ศาลโลกเหมือนเหตุการณ์เขาพระวิหารจึงพยายามที่จะยื่นเรื่องนี้ให้ศาลโลกเป็นผู้พิจารณาคดีเท่านั้น
เรื่อง: ญาตา ตั้งจิตตชอบ
อ้างอิง:
- https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/97163
- https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/97105
- https://image.mfa.go.th/mfa/0/mkKfL2iULZ/migrate_directory/news-20130128-152037-410753.pdf
- https://resolution.soc.go.th/?prep_id=410737
- https://m.en.freshnewsasia.com/index.php/en/60617-2025-05-31-00-40-00.html
- https://rta.mi.th/rta-issued-a-statement-regarding-the-cambodian-governments-statement/
- https://rta.mi.th/rta-issue-an-order-granting-authority-to-control-border-crossings-to-the-burapha-and-suranaree-task-force-commanding-general/