ตลาดหุ้นจีนยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่ในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก ด้วยการเป็นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่ตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นใหญ่ของจีน 50 รายแรก (China A50) รวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng) ซึ่งมีบริษัทจีนจดทะเบียนอยู่หลายแห่ง โดยดัชนีปรับขึ้นมาราว 7-8% ในช่วงต้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะเข้าสู่ช่วงหยุดยาวสำหรับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งตลาดหุ้นจีนจะหยุดยาวตั้งแต่ 11-17 กุมภาพันธ์ ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงจะหยุดตั้งแต่ 12-15 กุมภาพันธ์ นี้
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง มองว่า หากดูจากดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นหลัก 300 บริษัทของจีน ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2560-2563 พบว่าแต่ละปี ยกเว้นปี 2563 ซึ่งเกิดโควิด-19 ดัชนี CSI 300 สามารถปรับขึ้นได้หลังจากตลาดหุ้นกลับมาเปิดการซื้อขายอีกครั้งหลังจากหยุดช่วงตรุษจีน โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีจะต่อเนื่องราว 2-3 สัปดาห์ ส่วนในช่วงก่อนวันหยุดยาวปริมาณการซื้อมักจะซบเซาลง
“ประเด็นของตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นหลังวันหยุดยาวเป็นเรื่องของ Sentiment ระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งปีนี้ก็น่าจะเห็นดัชนีปรับขึ้นได้ในช่วงหลังตรุษจีน แต่สำหรับแนวโน้มระยะยาวอาจต้องพิจารณาในเรื่องของมูลค่า ซึ่งหากเทียบค่า Forward P/E ปัจจุบันที่ 14-15 เท่า ยังคงต่ำกว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มี P/E ราว 22 เท่า”
สำหรับธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์ในช่วงตรุษจีนซึ่งเป็นวันหยุดยาวถึง 16 วัน คือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่าง Alibaba และ JD.com รวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดที่มีบริษัทจีนจดทะเบียนอยู่หลายบริษัทเช่นกัน พบว่าดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นได้ทุกปีตลอด 4 ปีย้อนหลัง ยกเว้นปี 2563 ทั้งนี้หากดูความน่าสนใจของหุ้นจีนเปรียบเทียบระหว่างตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่กับตลาดหุ้นฮ่องกง โดยพิจารณาจากดัชนี AH Premium ซึ่งปัจจุบันดัชนีนี้สะท้อนว่าตลาดหุ้นฮ่องกงถูกกว่าตลาดหุ้นจีนราว 38.1% โดยค่า forward P/E ของดัชนี Hang Seng ในปัจจุบันอยู่ที่ 13.5 เท่า
“ในปีนี้ Morgan Stanley คาดการณ์ว่าจะมีฟันด์โฟลวจากนักลงทุนจีนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกง (Southbound Inflow) ราว 1.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีเงินทุนจากจีนไหลเข้าฮ่องกงแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 6.5 เท่า เพราะนักลงทุนเริ่มตระหนักได้ว่าตลาดหุ้นฮ่องกงยังมี Discount อยู่”
สำหรับหุ้นจีน 5 บริษัทหลัก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่มีเงินลงทุนไหลเข้ามากที่สุด ได้แก่ Tencent 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์, China Mobile 5 พันล้านดอลลาร์, Meituan 2.4 พันล้านดอลลาร์, HKEX 1.8 พันล้านดอลลาร์ และ Xiaomi 900 ล้านดอลลาร์
ด้าน จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์ตลาดการเงินและวางแผนการลงทุน Digital Business EASY INVEST บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า หุ้นจีนโดยภาพรวมยังมีความน่าสนใจ แต่อาจจะต้องพิจารณาในมุมมองที่แตกต่างกันออกไปสำหรับหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่กับหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ
สำหรับหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ยังคงน่าสนใจอยู่ด้วยการบริโภคในประเทศที่ค่อนข้างมาก แต่อัปไซด์จากปัจจุบันอาจจะไม่สูงนัก เพราะทุกคนรับรู้กันอยู่แล้ว
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป ขณะที่หุ้นจีนซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจต้องจับตาความเสี่ยงในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“การลงทุนในหุ้นจีน ส่วนตัวมองว่าหากต้องการลงทุนระยะยาว การกระจายความเสี่ยงในแต่ละตลาดน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ด้วยโอกาสและความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป”
อย่างไรก็ตาม หากเลือกลงทุนโดยต้องการลงทุนระยะสั้น 6 เดือน ถึง 1 ปี ตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Share) หรือหุ้นเทคโนโลยีของจีน ค่อนข้างน่าสนใจ แต่หากต้องการลงทุนระยะยาวเกาะไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้น A-Share ค่อนข้างจะน่าสนใจมากกว่า
ส่วนแนวโน้มของหุ้นจีนในช่วงตรุษจีน โดยธรรมชาติแล้วก่อนหน้าวันหยุดยาวจะเห็นปริมาณการซื้อขายเบาบางลง ทำให้ความเสี่ยงจากเรื่องสภาพคล่องสูงขึ้น ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นอาจจะหลีกเลี่ยงการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงในจุดนี้ แต่หลังจากตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดทำการอีกครั้งก็มักจะปรับตัวขึ้นได้
“ก่อนหน้านี้ธีมการลงทุนในจีนที่เติบโตดีจะเน้นไปที่การบริโภคในประเทศ แต่ก็เงียบไปจากโควิด-19 ก่อนที่หุ้นเทคโนโลยีจะบูมขึ้นมา แต่ปัจจุบันมองว่าเริ่มอิ่มตัวแล้ว ถัดจากนี้มองว่าธีมการลงทุนที่น่าสนใจจะเกี่ยวข้องกับนวัตกรรม คือบริษัทที่ทำธุรกิจดั้งเดิม ก่อนจะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยปรับธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า หากมองภาพของตลาดหุ้นจีนตลอดทั้งปีนี้ น่าจะเป็นลักษณะของการประคองตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในสัญญาณที่ต้องจับตาคือกระแสฟันด์โฟลวที่เริ่มไหลกลับไปยังประเทศฝั่งตะวันตก ซึ่งจะเห็นว่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับเงินหยวนที่อ่อนค่าลง หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้