‘โครงการลาดตระเวน’ โดยการนำตำรวจจากประเทศจีนมาลงพื้นที่ตรวจตราในประเทศไทยตามเมืองท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง
เป็นหนึ่งในผลการหารือระหว่าง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับ ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วยตำรวจสอบสวนกลางและตำรวจท่องเที่ยว เมื่อวานนี้ 12 พฤศจิกายน 2566
หลังประเด็นดังกล่าวถูกเผยแพร่ หลายภาคส่วนต่างตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ว่า โครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้จะมีประโยชน์จริงและเหมาะสมหรือไม่
ตำรวจจีนจะเป็นกระบอกเสียง และสัญลักษณ์ความปลอดภัย
วานนี้ ผู้ว่าการฯ ททท. เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายกฯ ในประเด็นการดูแลนักท่องเที่ยวจีนว่า ทาง ททท. และสถานทูตจีนได้นัดหมายหารือเกี่ยวกับโครงการลาดตระเวน ที่จะให้ตำรวจจากประเทศจีนมาลาดตระเวนในประเทศไทยตามเมืองท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
โดยยกตัวอย่างว่าโครงการดังกล่าวเคยประสบความสำเร็จที่ประเทศอิตาลีแล้ว ทั้งนี้มั่นใจว่าหากโครงการนี้ทำได้จริงจะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการยกระดับดูแลนักท่องเที่ยว และมั่นใจว่าตัวเลขการท่องเที่ยวจีนช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะเป็นไปตามเป้าเดิมที่กำหนดไว้ที่ 44.4 ล้านคน
“การนำตำรวจจากจีนมาร่วมเพื่อต้องการให้ตำรวจจีนเห็นการทำงานของประเทศไทย ว่าเรายกระดับเรื่องความปลอดภัยอย่างไรบ้าง ให้เขาเป็นกระบอกเสียงส่งต่อให้กับนักท่องเที่ยวจีน เพราะคนจีนกลัวตำรวจชาติเขามาก” ฐาปนีย์กล่าว
ตำรวจจีนจะเป็นผู้กำราบกลุ่มจีนสีเทาและแหล่งข้อมูลชั้นดี
ต่อมาในวันเดียวกัน ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การหารือที่เกิดขึ้นได้พูดถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะปัญหาความปลอดภัยจากคนจีนกลุ่มสีเทาที่เข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทย
โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้รายงานว่า พฤติกรรมของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมของคนจีนที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย พบว่าพวกกลุ่มคนจีนสีเทามีความเกรงกลัวตำรวจจีนด้วยกันเอง และนักท่องเที่ยวจีนจะรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ หากมีตำรวจจีนมาช่วยดูแล
ดังนั้น ตำรวจของไทยจึงคิดว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการกำราบกลุ่มจีนสีเทา คือขอให้ตำรวจจีนเป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติงาน ซึ่งปกติมีการทำงานร่วมกันระดับตำรวจสากลอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้แสดงออกให้เห็นชัดเจนขึ้น และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยได้รับข้อมูลและเบาะแสที่แม่นยำรวดเร็วขึ้น ซึ่งตำรวจจีนมีข้อมูลและมีเบาะแสพร้อมจะให้ความร่วมมือกับตำรวจไทยเต็ม 100%
“ข่าวที่จะให้ตำรวจจีนมาตระเวนดูแลความปลอดภัยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงเพียงแค่มาร่วมมือทำงานและให้ข้อมูลเบาะแสเพื่อให้ตำรวจไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ชัยกล่าว
ตำรวจจีนเข้ามาในไทยไม่มีวันเกิดขึ้น กมธ.มั่นคงฯ-ตร. เห็นตรงกัน
วันนี้ (13 พฤศจิกายน) รังสิมันต์ โรม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้พาคณะเข้าประชุมร่วมกับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในกรณีนี้
โดยรังสิมันต์กล่าวภายหลังการประชุมว่า แนวคิดดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้น และได้รับการยืนยันแล้วว่าทุกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาในราชอาณาจักร เพราะมีผลกระทบในหลายมิติ หากเริ่มต้นนำตำรวจจีนเข้ามาในประเทศไทยในวันนี้ อนาคตก็จะต้องให้ตำรวจจากชาติอื่นๆ เข้ามาด้วย และตำรวจไทยก็จะไม่มีบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสม
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องช่วยกันพัฒนาศักยภาพของตำรวจไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวได้
แต่กระแสข่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน คณะกรรมาธิการฯ จัดทำหนังสือขอให้รัฐบาลชี้แจงประเด็นดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่ายในการปฏิบัติ
ขณะที่ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กล่าวยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย และตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวเพียงพอ แต่กรณีที่เกิดขึ้นในอิตาลีนั้น เชื่อว่าเกิดจากปัญหาด้านการสื่อสารทางภาษา จึงมีการนำตำรวจจีนมาช่วย แต่สำหรับประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาดังกล่าว ยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
“แนวคิดดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้เป็นผู้เสนอหรือร้องขอไปยังรัฐบาล เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับทางการจีน เพราะเมื่อเกิดเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับจีนก็จำเป็นที่จะต้องมีการประสานข้อมูลคนร้ายและข้อมูลคดีกัน” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์กล่าว