ทางการจีนภายใต้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงอาจสั่งให้รัฐบาลท้องถิ่นที่เคยกู้ยืมเงินจำนวนมากและทำให้โครงสร้างพื้นฐานของจีนมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ลดการใช้จ่ายและปรับโครงสร้างหนี้โดยไม่กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ถ้าหากล้มเหลวอาจผลักให้จีนตกอยู่ในภาวะซบเซาเป็นเวลานาน
รัฐบาลท้องถิ่นกำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากปัญหาหนี้มูลค่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ที่อยู่นอกงบดุลของรัฐบาลท้องถิ่น (LGFV) ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นและกู้ยืมในฐานะจังหวัดและเมืองต่างๆ ทั่วทั้งจีน รัฐบาลจีนพยายามเปลี่ยนบริษัทเหล่านี้ให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินของรัฐบาลเพื่อจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อีกต่อไป แต่จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของ LGFV 6 แห่ง ต่างระบุว่าความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผลในพื้นที่ที่ยากจนของประเทศ
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่า หลายบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ได้ อีกทั้งธนาคารไม่เต็มใจที่จะให้กู้ยืม นักลงทุนเลี่ยงลงทุนในพันธบัตรและโครงการลงทุนที่มีศักยภาพเริ่มทำได้ยากขึ้น
หากทางการจีนหลีกเลี่ยงการช่วยเหลือ รัฐบาลท้องถิ่นต้องเผชิญกับภาระในการชำระหนี้ที่มากขึ้นและธนาคารได้รับมอบหมายให้ลดอัตราดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาครบกำหนดชำระหนี้ ซึ่งเป็นการจำกัดความสามารถของรัฐบาลท้องถิ่นและธนาคารในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบยังสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนเช่นกัน เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ของ LGFV ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในจีน จะทำให้ระบบการเงินจีนมูลค่า 60 ล้านล้านดอลลาร์สั่นคลอน และก่อให้เกิดคลื่นกระแทกไปทั่วโลก
Logan Wright ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดจีนของ Rhodium Group กล่าวว่า ตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอีก 2 ปีข้างหน้าคือความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ความล้มเหลวจากการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่นเทียบเท่ากับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตตลาดอสังหา
การประชุมโปลิตบูโรเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาบอกเป็นนัยถึงขั้นตอนการแก้ไขความเสี่ยงหนี้ และขณะนี้ทางการจีนดูเหมือนจะดำเนินการตามนั้น โดยอนุญาตให้มณฑลต่างๆ ของจีนระดมเงินได้สูงถึง 1 ล้านล้านหยวน (1.37 แสนล้านดอลลาร์) จากการขายพันธบัตร และสามารถนำไปใช้ชำระหนี้ LGFV ได้
แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของหนี้ LGFV ทั้งหมด แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า ในปีนี้รัฐบาลท้องถิ่นจะระดมทุนได้รวม 66 ล้านล้านหยวน ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดพันธบัตรของบริษัทต่างๆ นอกจากนี้สื่อท้องถิ่น Caixin รายงานว่าทางการจีนเตรียมพิจารณาให้ธนาคารกลางจัดหาสภาพคล่องให้กับ LGFV ที่มีความตึงเครียดมากที่สุด
ทั้งนี้ มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่ทางเลือกแรกของทางการจีน ก่อนหน้านี้ได้จัดทำแผนก่อนเกิดการระบาดใหญ่ในการอัดฉีดเงินทุนของรัฐเข้าสู่บริษัทต่างๆ และอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอจะชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง
บริษัทส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาการลงทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อหารายได้ในรูปแบบของการชำระเงินจาก LGFV สำหรับโครงสร้างพื้นฐานและเงินอุดหนุน บริษัทเหล่านี้ยังกู้ยืมจากธนาคารและขายพันธบัตร ซึ่งโดยทั่วไปมองว่าได้รับประกันการชำระหนี้จากรัฐบาลท้องถิ่น
นั่นจึงเป็นเรื่องปกติตราบใดที่ธนาคารเต็มใจที่จะชำระหนี้ของบริษัทเมื่อถึงกำหนด และตราบใดที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลท้องถิ่นมีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายเงินอุดหนุนให้กับบริษัท
แต่รูปแบบการระดมทุนดังกล่าวขณะนี้อยู่ภายใต้ความเครียดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจาก
ประการแรก: จำนวนหนี้ LGFV ที่กำลังครบกำหนดชำระอยู่ในระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ประการที่สอง: รัฐบาลท้องถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ยากจนมีรายได้ลดลง จากยอดขายบ้านที่ตกต่ำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ประการที่สาม: ธนาคารและนักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นน้อยลงว่าทางการจีนจะรับประกัน LGFV บางส่วนหากบริษัทล้มละลาย ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรและเงินกู้สูงขึ้น และทำให้บริษัทที่อ่อนแอกว่าเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น
Goldman Sachs Group, Inc. ประมาณการว่าในปี 2022 โดยเฉลี่ยของ LGFV มีมูลค่าเงินสดอยู่ในมือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของหนี้สินระยะสั้นทั้งหมด
อ้างอิง: