“ตั้งท้องอยากได้เงินเดือน 15,000-20,000 บาท”
“มีงานสำหรับผู้หญิง รายได้ 4-6 แสนบาท”
“หางานทำในบ้าน หางานต่างประเทศ”
ตัวอย่างข้อความในโซเชียลมีเดียที่เชิญชวนหญิงไทยร่วมร้อยคน (หรืออาจจะมากกว่านี้) ให้เดินทางไปต่างประเทศเพื่ออุ้มบุญ โดยการันตีว่าถูกกฎหมาย ดูแลอย่างดี ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงและนำมาสู่บังคับขายไข่สืบพันธุ์
ในขบวนการนี้ ต่อมาได้รับการเปิดเผยจากเหยื่อว่าคือกลุ่มธุรกิจค้ามนุษย์ที่มีชาวจีนเป็นผู้สั่งการ โดยร่วมมือกับคนไทยตั้งฐานควบคุมในประเทศไทย และ ณ วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) ยังมีหญิงไทยประมาณ 100 คนรอคอยความช่วยเหลือที่ประเทศจอร์เจีย
จุดเริ่มต้นการช่วยเหลือ
นา หญิงไทยหนึ่งในผู้เสียหายที่สามารถหาเงินและวิถีทางไถ่ถอนตัวเองออกมาจากเครือข่ายค้ามนุษย์นี้ได้ก่อนใคร เดินทางไปขอความช่วยเหลือที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เธอเล่าเรื่องของตัวเองและเพื่อนๆ หญิงไทยที่ถูกกักตัวอยู่ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในประเทศจอร์เจียให้ ปวีณา หงสกุล ฟังเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567
โดยระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงไทยทั้งหมดในที่แห่งนั้นคือพวกเธอจะ “ถูกรีดไข่จากรังไข่ในตัว เพื่อนำไข่ที่ได้ไปขายต่อเพื่อทำเด็กหลอดแก้วในประเทศที่ 3 (จีน) ซึ่งทารกที่คลอดออกมาอาจถูกเก็บสเต็มเซลล์เพื่อนำไปรักษาโรคหรือเพื่อประโยชน์ของคนบางคน โดยที่ทารกที่เกิดมาอาจต้องเสียชีวิตในที่สุด”
เมื่อปวีณาทราบเรื่องจึงประสานขอความช่วยเหลือไปยัง พล.ต.ต. สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ และทีมงานตำรวจสากลระหว่างประเทศ นำกำลังตำรวจร่วม 30 นาย เข้าช่วยเหลือเหยื่อหญิงไทย 3 คนออกมาจากบ้านแห่งหนึ่งในประเทศจอร์เจีย จากนั้นมูลนิธิปวีณาฯ ส่งตั๋วเครื่องบินและพาเหยื่อทั้ง 3 คนเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา
“มีหญิงไทยอีกกว่า 100 คนที่ต้องทนทุกข์และอยากจะเดินทางกลับบ้านเหมือน 3 คนนี้” ปวีณากล่าว
เรื่องราวจาก 3 หญิงไทย
เหยื่อหญิงไทยทั้ง 3 คนถ่ายทอดสิ่งที่ได้พบเจอก่อนจะได้รับการช่วยเหลือ โดยพวกเธอยอมรับว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้เดินทางไปเพราะ ‘ความยากจน’ จึงเริ่มมองหางานในสื่อโซเชียล พวกเธอเห็นข้อความ เช่น “ตั้งท้องอยากได้เงินเดือน 15,000-20,000 บาท”, “มีงานสำหรับผู้หญิง รายได้ 4-6 แสนบาท” และ “หางานทำในบ้าน หางานต่างประเทศ” จนนำมาสู่การเจอกลุ่มรวบรวมงานอุ้มบุญที่ประเทศจอร์เจีย
ซึ่งมีรายละเอียดอธิบายในกลุ่มว่า มีพ่อแม่ต่างชาติที่มีลูกยากจะให้อุ้มบุญ จะดูแลอย่างดี กินอยู่สบาย รายได้ 4-6 แสนบาทต่อเดือน และรับประกันว่าเป็นงานถูกกฎหมาย พร้อมกับจะออกค่าใช้จ่ายในการทำพาสปอร์ตและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ซึ่งจะใช้เวลาเดินเรื่องประมาณ 1 เดือน
ด้วยตัวเลขรายรับที่มาก จึงทำให้ตัดสินใจติดต่อตัวแทน (นายหน้าคนไทย) และเดินทางไปทันที แต่เมื่อไปถึงบ้านพัก ทั้งหมดถูกกักบริเวณ ยึดหนังสือเดินทาง และพบกับหญิงไทยร่วมชะตากรรมในบ้านพักอีก 4 หลัง
ผู้หญิงทุกคนได้รับคำสั่งว่าต้องขายไข่สืบพันธุ์ ซึ่งภายในบ้านจะมีคนจีนคอยควบคุมดูแลความเรียบร้อย ผู้หญิงทุกคนต้องถูกฉีดยาบำรุงเข้าที่บริเวณหน้าท้องเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงจะได้ผลิตไข่ แต่หากใครไม่สามารถผลิตไข่ให้แข็งแรงได้ก็จะถูกขังอยู่ในบ้านแบบนั้น 7-8 เดือน
หากผู้คุมเห็นว่าผู้หญิงคนไหนแข็งแรงดี สามารถขายไข่สืบพันธุ์ได้ จะถูกพาตัวออกไปจากบ้านแล้วเข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องมือสอดช่องคลอดเพื่อรีดไข่สืบพันธุ์ และรวบรวมนำส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 (จีน)
จากไทยไปจอร์เจีย
นา เหยื่อหญิงไทยที่กลับมาได้ก่อน เล่ารายละเอียดการเดินทางไปทำงานครั้งนี้ว่า หลังจากสอบถามรายละเอียดงาน แอดมินของกลุ่มพาตนเองไปทำพาสปอร์ตและนัดเดินทางในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 โดยไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภา เมื่อถึงวันนัดหมายมีหญิงไทยที่ร่วมเดินทางไปด้วยอีก 10 คน และมีผู้ดูแลเป็นหญิงไทย 1 คน รวมทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนไม่รู้จักกัน
หัวหน้ากลุ่มให้เงินติดตัวคนละ 500 ดอลลาร์ (ประมาณ 15,000 บาท) ระบุว่า เอาไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง โดยเครื่องบินไปจอดที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
พวกเธอต้องเปลี่ยนเครื่องไปลงที่ประเทศอาร์มีเนีย หัวหน้ากลุ่มให้ทุกคนนอนค้างที่โรงแรม 3 คืน จากนั้นพาไปที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อถ่ายรูป ในวันที่ 4 ทั้งหมดเดินทางโดยรถไฟเข้าประเทศจอร์เจีย ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าชั่วโมง
เมื่อไปถึงประเทศจอร์เจีย ผู้ดูแลคนไทยให้ทั้งหมดเข้าพักในโรงแรม 1 คืน และยึดพาสปอร์ตทุกคน ก่อนจะพาไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีเนื้อที่ขนาดใหญ่ ภายในบริเวณเดียวกันมีบ้าน 4 หลัง
วันต่อมา นาถูกพาไปที่บ้านหลังที่ 1 ซึ่งเป็นหลังที่ใหญ่ที่สุด พบหญิงไทยอยู่รวมกันกว่า 60 คน บางคนสภาพร่างกายทรุดโทรม นั่งร้องไห้ บอกว่าอยากกลับบ้าน
วันต่อมาถูกย้ายไปบ้านหลังที่ 2 ที่มีหญิงไทยอยู่ประมาณ 10 คน จากที่สังเกต นาเล่าว่าบ้านทั้ง 4 หลังมีแต่หญิงไทยรวมแล้วประมาณ 100 คน โดยทุกบริเวณจะมีคนจีนเข้า-ออกตลอดเวลา นาสอบถามกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ในบ้านจนทราบว่า
“พวกเธอถูกหลอกให้มาอุ้มบุญ แต่ไม่มีพ่อแม่ต่างชาติคนไหนมาให้เซ็นสัญญาจ้าง ทุกคนจึงถูกบังคับให้ขายไข่ คนที่ยินยอมก็จะถูกรีดไข่ทุกเดือน ทำเหมือนไม่ใช่คน สภาพร่างกายย่ำแย่ ส่วนคนที่ไม่ยอม อยากกลับบ้าน จะถูกเรียกค่าไถ่ อ้างว่าเป็นค่าเดินทางและค่ากินอยู่ 50,000-70,000 บาท” นาเล่า
นาเล่าต่อว่า เหยื่อหญิงไทยหลายคนต้องทนอยู่เพราะไม่มีเงินไถ่ตัว และถูกข่มขู่ว่าหากกลับประเทศไทยจะถูกจับกุมดำเนินคดี ทุกคนจึงกลัวมาก หญิงไทยที่อยู่ในบ้านทั้ง 4 หลัง จะมีคนจีนเข้า-ออกพาไปเก็บไข่หมุนเวียนกันอยู่ตลอด สำหรับคนที่จะถูกรีดไข่ จะถูกฉีดยากระตุ้นการตกไข่ก่อนเพื่อให้ไข่ตกหลายใบ และเมื่อไข่พร้อมปฏิสนธิก็จะถูกนำตัวมาวางยาสลบและใช้เครื่องมือดูดไข่ออกไป
“สภาพร่างกายแต่ละคนเท่าที่พบอยู่ในขั้นย่ำแย่ ทุกคนที่นั่นเหมือนตกนรกทั้งเป็น” นากล่าว
ส่วนตัวเองเมื่อรู้ว่าถูกหลอกและไม่ยอมให้รีดไข่ จึงติดต่อครอบครัวเพื่อขอให้หาเงินส่งมาไถ่ตัว 70,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีคนในขบวนการที่คาดว่าเป็นหัวหน้า จากนั้นจึงได้รับการปล่อยตัวและซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567
ก่อนที่นาจะกลับประเทศไทย มีเพื่อนหญิงไทย 3 คนที่ถูกหลอกไปเหมือนเธอ ซึ่งไม่ต้องการให้กลุ่มคนจีนรีดไข่และไม่มีเงินค่าไถ่ตัว ขอร้องให้หาทางช่วยให้ได้กลับบ้าน ตนจึงเข้าร้องทุกข์ต่อมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเพื่อนหญิงไทยทั้ง 3 คนด้วย
ฝากถึงหญิงไทย
ปวีณากล่าวว่า จากสถิติมูลนิธิปวีณาฯ ปี 2567 ปัญหาล่อลวง / ค้าประเวณี / ค้ามนุษย์ มีสูงถึง 257 คน แยกเป็น แจ้งเบาะแสค้าประเวณีในประเทศ จำนวน 53 คน และขอความช่วยเหลือค้าประเวณี / ค้ามนุษย์ต่างประเทศ 204 คน กรณีถูกหลอกค้ามนุษย์ต่างประเทศ มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือกลับมาแล้ว 152 คน
“ขอเตือนภัยสาวไทยที่คิดจะหางานทำหรือไปทำงานในต่างประเทศ ควรจะตรวจสอบให้ดี อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะไปแล้วอาจไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะงานสบาย รายได้ดี ไม่มีอยู่จริง หลายคนต้องไปตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ ถูกกักขัง ทรมาน ทำร้ายร่างกาย บังคับเสพยา ค้าประเวณี บางคนถึงกับเอาชีวิตไม่รอด ซึ่งการช่วยเหลืออาจจะช่วยไม่ได้ทุกคน เพราะฉะนั้นควรจะตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ดีก่อนตัดสินใจเดินทาง เพราะอาจตกเป็นเหยื่อได้” ปวีณากล่าว