เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายปลอมแปลงบัตรประชาชน นำไปสู่การเปิดโปงขบวนการขนาดใหญ่ที่ใช้เงิน 1 ล้านบาท เปลี่ยนสถานะคนจีนให้กลายเป็นคนไทย
คดีนี้ไม่ใช่แค่การปลอมแปลงเอกสารทั่วไป แต่เผยให้เห็นถึงการร่วมมือกันระหว่างข้าราชการไทยและนายทุนจีนที่สมคบคิดก่ออาชญากรรมข้ามชาติ สะท้อนปัญหาการทุจริตและช่องโหว่ในระบบทะเบียนราษฎรของไทย
ขบวนการนี้เน้นให้บริการกลุ่มชาวจีนโดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจทำเอกสารทางราชการของไทยเพียงชำระค่าบริการและเดินทางมาตามที่นัดหมาย จากนั้นจะมีนายหน้าชาวไทยดูแลทุกขั้นตอน โดยลูกค้าไม่ต้องกรอกเอกสาร เพียงไปถ่ายภาพ สแกนนิ้วการทำบัตรประชาชน ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
ส่วนมากชาวจีนที่ต้องการทำเอกสารทางการไทยแบบนี้ เพื่อจะได้อยู่อาศัยโดยไม่ต้องขอวีซ่า และบางส่วนเพื่ออำพรางตัวในการทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย
เมื่อกลุ่มลูกค้าชาวจีนทำบัตรประชาชนเรียบร้อยจะทำพาสปอร์ตต่อ แต่กลุ่มคนร้ายจะใช้โอกาสนี้ที่ลูกค้าชาวจีนมีเอกสารปลอมในครอบครอง จัดฉากบุกจับ โดยมีเจ้าหน้าที่ไทยที่แบ่งหน้าที่ไว้ก่อนหน้าทำแต่ละขั้นตอน (ตามข้อ 1-4)
ลูกค้าจีนที่ตกเป็นเหยื่อ หากไม่ต้องการถูกดำเนินคดีจะต้องจ่ายเงินโดยสแกนจ่ายผ่านเครือข่ายคริปโตในสกุล USDT เงินจะเข้าสู่ Wallet ก่อนถูกโอนต่อไปอีกทอดหนึ่ง
ในการเปิดโปงครั้งนี้เกิดจากที่ลูกค้าชาวจีนรายหนึ่งซึ่งถูกตบทรัพย์เมื่อปี 2567 ตัดสินใจแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นตำรวจสอบสวนกลางจึงขยายผลและจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการได้ และยังต้องมีการขยายผลต่อ
ตำรวจสอบสวนกลางออกปฏิบัติการตรวจค้น 11 จุด ใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ และออกหมายจับ 6 หมาย สามารถควบคุมตัวลีและเอ้ (ภรรยาลี) โดยแจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชนแล ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ยังพบเจ้าหน้าที่รัฐมีเอี่ยวในขบวนการ เฉพาะตำรวจในกลุ่มนี้เคยมีประวัติอุ้มรีดไถชาวจีน มีบางรายถูกดำเนินคดีฐานกรรโชกทรัพย์อยู่ในเรือนจำก่อนมีหมายจับคดีนี้
หลังจากที่ลีมีบัญชีธนาคารและเอกสารแสดงตัวตนของประเทศไทยจึงเริ่มเปิดบริษัท โดยใช้ที่ตั้งในจังหวัดสมุทรปราการ ปรากฏชื่อนอมินีคนไทยประกอบกิจการในบริษัท แต่ไม่มีการดำเนินกิจการจริง ไม่มีพนักงาน พร้อมเปิดอีก 14 บริษัท โดยใช้ที่ตั้งเดียวกัน
ลีสร้างเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีบริษัทที่คล้ายกันอีกกว่า 100 บริษัท ใน 1 ปีมีเงินหมุนเวียนกว่า 400-500 ล้านบาท
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา