วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) พล.ต.ท. สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต. วสันต์ เตชะอัครเกษม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รักษาราชการรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอปส.ตร.) แถลงผลจับกุม ยีวานโยว อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.784/2568 และ ลี่เว่ยเจีย อายุ 30 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.785/2568
จับกุมในข้อหาเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือยืมบัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้ในนามของบุคคลหนึ่งแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้
พร้อมตรวจยึดของกลาง เงินสดไทยและต่างประเทศ มูลค่าประมาณ 417,546.67 บาท ของแบรนด์เนมจำนวนมาก มูลค่าประมาณ 4,305,846.67 บาท รถยนต์ Mercedes-Maybach S 580 e ราคาประมาณ 11,000,000 บาท และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นจำนวนมาก รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดมูลค่าประมาณ 15,305,846.67 บาท
โดยตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ภายในบ้านพักซอยพหลโยธิน 32 หลังมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 รายเป็นตัวการใหญ่ (บิ๊กบอส) ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพฤติการณ์ใช้กลโกงโดยการสร้างเพจปลอมเป็นหน่วยงานราชการ พร้อมเผยแพร่คีย์เวิร์ด ‘ติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกคืน’ และยิงแอดโฆษณาปั่นยอดไลก์ เพื่อหลอกลวงเหยื่อที่เคยถูกหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พล.ต.ท. สยาม กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 มีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) หัวหมาก ว่าถูกหลอกลวงผ่านเพจเฟซบุ๊ก อ้างว่าให้ผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงมาแจ้งความร้องทุกข์ผ่านลิงก์ในเพจเฟซบุ๊กได้ โดยผู้เสียหายรายนี้ถูกหลอกไปมากกว่าล้านบาท
ต่อมาฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก และสืบนครบาลได้สืบสวนขยายผลเพิ่มเติม จนสามารถไปสอบปากคำพยานปากสำคัญที่บริเวณชายแดนได้หลายปาก ซึ่งพยานทั้งหมดยืนยันว่ามีตัวการใหญ่คือ 2 ผู้ต้องหาชาวจีนที่สามารถจับกุมได้ในวันนี้
ทางตำรวจจึงสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและขออำนาจศาลออกหมายจับชาวจีนทั้ง 2 ราย โดยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นหัวหน้าผู้สั่งการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในตึก 20 ชั้น โดยจะให้ลูกน้องในเครือข่ายเปิดเพจเฟซบุ๊กปลอม อ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการในไทย เพื่อให้ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงมากรอกข้อมูลแจ้งความร้องทุกข์
โดยได้นำรูปนายตำรวจระดับสูงมาแอบอ้างเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แล้วหลังจากนั้นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะโทรหาผู้เสียหายทำทีอ้างว่าจะให้การช่วยเหลือ ก่อนที่จะหลอกเงินผู้เสียหายซ้ำเติมเสมือนเป็นการซ้ำเติมเหยื่อ โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้ข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อไปสั่งการงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วจะข้ามกลับมาที่ประเทศไทย โดยจะมากบดานเช่าบ้านภายในซอยพหลโยธิน 32 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเซฟเฮาส์ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีราคามูลค่ากว่า 15 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหาทั้งสองเช่าอาศัยเดือนละ 100,000 กว่าบาท จนกระทั่งในวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สามารถเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้
นอกจากนี้ยังพบว่าในโทรศัพท์มือถือมีข้อมูลเป็นรูปภาพ QR Code และรูปภาพเครื่อง SIM Box และซิมโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่เปิดใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้ทางตำรวจจะต้องนำข้อมูลดังกล่าวไปตรวจสอบขยายผลเพิ่มเติมว่ามีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และผู้เสียหายอย่างไร
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งสองยังไม่ให้การใดๆ กับตำรวจ ซึ่งหลังจากนี้ทางตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปดำเนินคดีที่ สน.หัวหมาก ซึ่งเป็นท้องที่ที่มีการแจ้งความของผู้เสียหายต่อไป รวมทั้งหลังจากนี้ทางตำรวจจะขยายผลเรื่องการฟอกเงินและตัวการหรือลูกทีมในขบวนการอื่นเพิ่มเติม เพราะพบว่าผู้ต้องหาชาวจีน 2 รายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในตึก 20 กว่าชั้นในประเทศเพื่อนบ้าน