วานนี้ (31 พฤษภาคม) พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงถึงงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะงบประมาณในส่วนของกองทัพอากาศในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35 ว่ากองทัพอากาศมีภารกิจสำคัญในการป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยยุทโธปกรณ์ที่สำคัญของกองทัพอากาศคือเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นโจมตี
โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศส่วนใหญ่มีระยะเวลาการใช้งานมาอย่างยาวนาน บางเครื่องถูกใช้งานมาแล้ว 41 ปี เฉลี่ยการใช้งานเครื่องบินแต่ละลำอยู่ที่ 28 ปี จึงมีความจำเป็นต้องทยอยปลดประจำการ เนื่องจากเครื่องบินบางรุ่นไม่สามารถหาชิ้นส่วนอะไหล่มาทดแทน หรือการซ่อมบำรุงไม่คุ้มค่า จึงมีกรอบทยอยปลดประจำการเครื่องบินเริ่มตั้งแต่ปี 2564-2574
ดังนั้นการทยอยปลดประจำการจึงทำให้กองทัพอากาศมีเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีไม่เพียงพอต่อการปฎิบัติภารกิจ ที่อาจจะเป็นความเสี่ยงในเรื่องของการป้องกันประเทศได้ ในส่วนนี้กองทัพอากาศจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีลำใหม่มาทดแทน
พล.อ. ชัยชาญ กล่าวว่า ถึงแม้กองทัพอากาศต้องการเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีลำใหม่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะจัดซื้อได้เลย จำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามกรอบงบประมาณที่มีเป็นระยะ และจะต้องฝึกนักบินอีก 1 ปี ดังนั้นกองทัพอากาศจึงดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่มีอยู่
ขณะเดียวกันข้อสังเกตของ ส.ส. ที่มองว่ากองทัพอากาศใช้งบประมาณจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ โดยใช้งบกว่า 1.3 หมื่นล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง กองทัพอากาศใช้งบประมาณโดยภาพรวมเพียง 7.28 พันล้านบาท
พล.อ. ชัยชาญ กล่าวว่า เครื่องบินที่มีอายุการใช้งานมาก นอกจากประสิทธิภาพจะลดลง สิ่งสำคัญคือเรื่องของความปลอดภัยของนักบิน สำหรับเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีจำเป็นจะต้องมีนักบินที่มีขีดความสามารถสูงตามยุทธวิธี
ดังนั้นจุดนี้กองทัพอากาศได้วางแผนดำเนินการตามกรอบเวลาที่มีและจัดทำเป็นระยะไป เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนเครื่องบินที่ถูกปลดประจำการ เพื่อปกป้องน่านฟ้าของประเทศให้มีความปลอดภัย