จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่เริ่มถูกพบมากขึ้นในเมืองอื่นๆ ของจีนนอกเหนือจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเวลานี้ โดยผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจการผลิตและบริการของจีนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าผู้ประกอบการมีระดับความเชื่อมั่นต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ในปี 2020
ขณะที่การสำรวจของหอการค้าสหภาพยุโรปในประเทศจีน พบว่า 60% ของกลุ่มผู้ประกอบการจากยุโรปที่เข้ามาทำธุรกิจในจีนได้มีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีนี้ลง 6-15% จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาด
Larry Hu หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Macquarie Group ระบุว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความกังวล เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการควบคุมการแพร่ระบาดของจีนจะกินเวลานานเพียงใด
“การล็อกดาวน์ทำให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทำได้ยาก เห็นได้จากยอดธุรกรรมการซื้อขายบ้านใน 30 เมืองของจีนในเดือนที่ผ่านมา ที่ปรับลดลงถึง 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน” Larry Hu กล่าว
ล่าสุด Starbucks ธุรกิจร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขามากกว่า 5,600 แห่งใน 225 เมืองของจีน ได้ออกมาเปิดเผยว่า 72% ของสาขาในเมืองจีน ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด โดยมีถึง 1 ใน 3 ของสาขาที่ต้องปิดตัวลงชั่วคราว หรือเปิดให้บริการเฉพาะเดลิเวอรีเท่านั้น
“การแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นทำให้มีคำสั่งล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สาขาของเราที่ยังเปิดให้บริการก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด” Belinda Wong ประธานของ Starbucks ในประเทศจีนกล่าว
Yue Su นักเศรษฐศาสตร์ของ The Economist Intelligence Unit ระบุว่า การล็อกดาวน์ของจีนทำให้ประชากรเลือกที่จะบริโภคเฉพาะสินค้าจำเป็น ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคภายในประเทศตกต่ำลง ในขณะที่ราคาสินค้าบางประเภทมีการปรับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในช่วงล็อกดาวน์
“การขาดความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจะฉุดการลงทุนและการจ้างงานลง ซึ่งจีนอาจต้องใช้เวลานานกว่าการระบาดในครั้งก่อนๆ เพื่อทำให้ตัวเลขเหล่านี้กลับมาอยู่ในจุดเดิม” Yue Su กล่าว
ด้าน Procter & Gamble ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยว่า ยอดขายสินค้าในจีนของบริษัทได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เนื่องจากผู้คนไม่สามารถออกจากบ้านเพื่อไปจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อได้ ขณะที่ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการจัดส่งสินค้าเช่นกัน
อ้างอิง: