จีนเตือนสหรัฐฯ ว่า ปักกิ่งพร้อมใช้กำลังทางทหาร หากมีความพยายามใดๆ ก็ตามเพื่อทำให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีน
เว่ยเฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีน พบปะหารือกับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงของเอเชีย Shangri-La Dialogue ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 มิถุนายน)
จีนมองว่า ไต้หวันเป็นส่วนสำคัญของดินแดนของจีน ซึ่งเป็นจุดยืนที่ทำให้เว่ยประณามการขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้ไต้หวัน พร้อมกับเน้นย้ำว่า การแยกไต้หวันออกจากจีนจะทำให้กองทัพจีนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง “ต่อสู้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม”
“เว่ยเฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นย้ำว่า หากใครกล้าแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อสู้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และทำลายความพยายามในการ ‘ประกาศอิสรภาพของไต้หวัน’ พร้อมทั้งปกป้องอธิปไตยของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดน” หวู่เฉียน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีน กล่าวในงานแถลงข่าวหลังการประชุมระหว่างเว่ยกับออสติน
ด้านออสตินกล่าวว่า สหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะรักษาสถานะที่เป็นอยู่ นั่นคือการยอมรับว่าปักกิ่งเป็นรัฐบาลเดียวของจีน และต่อต้านเอกราชของไต้หวัน แต่ขณะเดียวกัน เขายืนยันว่าจะต้องไม่มีความพยายามที่จะแก้ไขความตึงเครียดด้วยกำลัง
โดยออสตินเรียกกิจกรรมทางทหารของจีนว่า “ยั่วยุ ทำลายเสถียรภาพ” พร้อมทั้งกล่าวว่า มีเครื่องบินจีนบินใกล้ไต้หวันเป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเกือบทุกวัน ซึ่งเป็นการ “บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค”
ทั้งนี้ เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ไต้หวันเปิดเผยว่าได้ส่งเครื่องบินขับไล่เพื่อเตือนเครื่องบินรบ 30 ลำที่จีนส่งเข้าไปยังเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense Identification Zone) ของไต้หวัน เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการบุกรุกของจีนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
สำหรับการประชุมครั้งนี้นับเป็นการประชุมร่วมกันครั้งแรกของผู้นำกลาโหมสหรัฐฯ และจีน และกินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง นอกรอบการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคง Shangri-La Dialogue
เว่ยกล่าวว่า การพูดคุย “ดำเนินไปอย่างราบรื่น” และทั้งสองฝ่ายกล่าวว่า เป็นการพูดคุยอย่างจริงใจ
ขณะที่ออสตินกล่าวถึงความสำคัญของการรักษาแนวทางการสื่อสารที่เปิดกว้างกับกองทัพจีน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจที่ผิดพลาด
แฟ้มภาพ: Ceng Shou Yi / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: