×

สองสหายคอมมิวนิสต์จีน-เวียดนาม: ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้

06.03.2025
  • LOADING...
china-vietnam-communist-allies

ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม หากมองจากมุมภูมิรัฐศาสตร์อาจจะเห็นภาพความขัดแย้งของสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ โดยเฉพาะข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อนกัน รวมทั้งมีกระแสชาตินิยมของชาวเวียดนามบางกลุ่มที่ต่อต้านจีน เคยเกิดการประท้วงในเวียดนามในปี 2014 และปี 2018 ซึ่งประเด็นการประท้วงมีความเชื่อมโยงกับการลงทุนของจีนในเวียดนาม นอกจากนี้ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมานาน เวียดนามต้องอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีนเป็นเวลาหลายพันปี และในปี 1979 ทั้งสองประเทศก็เคยทำสงครามระหว่างกันที่เรียกว่า ‘สงครามสั่งสอน’

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในมุมมองด้านภูมิรัฐศาสตร์ สองประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีพรมแดนติดกันนี้จะมีรากฐานของความขัดแย้งระหว่างกัน หากแต่ในแง่เศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศกลับมีความเกี่ยวพันโยงใยกันมากขึ้น ทั้งด้านการลงทุนและการค้าระหว่างกัน ไหนว่าไม่รักกัน แล้วทำไมเวียดนามและจีนหันมาคบกัน บทความนี้จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสองประเทศทั้งในมุมเศรษฐกิจและมุมภูมิรัฐศาสตร์ดังนี้

 

ประการแรก การค้าจีน-เวียดนาม พุ่งขึ้นมากกว่า 400% ในยุคสีจิ้นผิง

 

หากเปรียบเทียบในกลุ่มอาเซียน เวียดนามสามารถแซงทุกประเทศก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน ล่าสุดในปี 2024 มูลค่าการค้าจีน-เวียดนามสูงถึง 260,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในขณะที่การค้าไทย-จีน มีมูลค่าเพียงแค่ 133,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของจีน) นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นคู่ค้าอันดับ 6 ของจีนเมื่อเทียบระดับโลก (ส่วนไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 14 ของจีน)

 

ดังนั้นในยุคสีจิ้นผิง การค้าจีน-เวียดนามขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลในรอบ 12 ปี มูลค่าการค้าจีน-เวียดนามพุ่งสูงขึ้น 416.79% (เมื่อเปรียบเทียบปี 2012 ที่มีมูลค่าเพียงแค่ 50,441 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 260,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024)

 

ในแง่ดุลการค้าจีน-เวียดนาม พบว่าเวียดนามเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับจีน เนื่องจากเวียดนามต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรต่างๆ ทำให้จีนกลายเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของเวียดนามด้วย

 

สำหรับสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปจีนมากที่สุดคือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ (เช่น สินค้าประเภทสมาร์ทโฟน) สัดส่วนสูงถึง 59.2% ของการส่งออกทั้งหมด ส่วนสินค้านำเข้าจากจีนก็อยู่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ คิดเป็นสัดส่วน 33% ของการนำเข้าทั้งหมดจากจีน

 

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่าเวียดนามและจีนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันในการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ โดยเฉพาะสินค้าสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วน รวมทั้งทุนต่างชาติรายสำคัญที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามก็ล้วนเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วนที่สำคัญระดับโลก เช่น Samsung จากเกาหลีใต้ และ Foxconn จากไต้หวัน จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน)

 

นอกจากนี้การค้าชายแดนจีน-เวียดนาม นับเป็นช่องทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศนี้ เนื่องจากเวียดนามมีพรมแดนทางบกติดต่อกับสองมณฑลสำคัญของจีน ได้แก่ มณฑลยูนนานและกวางสี จึงมีส่วนเอื้อให้การค้าชายแดนจีน-เวียดนามขยายตัวมากขึ้น

 

ประการที่สอง ทุนจีนไหลเข้าเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากปริมาณการค้าที่ขยายตัวมากขึ้นแล้ว ในยุคสีจิ้นผิงเน้นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับเวียดนาม ทำให้ทุนจีนไหลเข้าเวียดนามเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ในยุครัฐบาลทรัมป์สมัยแรก ก็เป็นอีกปัจจัยเร่งให้ทุนจีนต้องขยายฐานการผลิตในเวียดนาม หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มขึ้นภาษีกับจีนตั้งแต่ปลายปี 2018 การลงทุนจากจีนในเวียดนามก็ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

จีนในเวียดนาม การลงทุน

อ้างอิง: China speeds up investment in Việt Nam, China’s investments to Vietnam boom as Xi visits Hanoi, US spending down | Reuters, FDI disbursement in Vietnam in 2024 hits record high | Vietnam+ (VietnamPlus)

 

จากข้อมูลปี 2024 จีนเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 3 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าการลงทุน 4,730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.37 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดในเวียดนาม ในขณะที่ผู้ลงทุนอันดับ 1 และ 2 ในเวียดนาม คือสิงคโปร์และเกาหลีใต้

 

INFO-ตารางสรุปความเสี่ยงของผลกระทบทรัมป์-2.0-ต่อเวียดนามและไทย

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

 

ประการที่สาม สองสหายคอมมิวนิสต์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้

 

ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-เวียดนามมีความเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศขยายตัวอย่างน่าทึ่ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยุคของสีจิ้นผิง ผู้นำคนสำคัญของจีนที่ขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่เดือนมีนาคม 2013 โดยเน้นนโยบายสมานฉันท์กับประเทศเพื่อนบ้านและใช้ความเป็นสหายคอมมิวนิสต์ในการกระชับความสัมพันธ์กับเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

 

ตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งของจีน สีจิ้นผิงได้เดินทางไปเยือนเวียดนามรวม 3 ครั้ง ได้แก่ ปี 2015, ปี 2017 และปี 2023 โดยเน้นบทบาทของสีจิ้นผิงในฐานะ ‘เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เพื่อเดินทางไปพบปะหารือกับสหายฝ่ายเวียดนามคือ เหงียนฝูจ่อง (Nguyễn Phú Trọng) เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เน้นสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และชูภาพความสัมพันธ์ของสองประเทศเพื่อนบ้านในฐานะเป็น ‘ประเทศคอมมิวนิสต์’ ด้วยกัน เพื่อสร้างความมั่นใจในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ปรับเปลี่ยนมาเน้น ‘ความเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์’ เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยพยายามเลี่ยงไม่หยิบยกประเด็นปัญหาข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้มาวางบนโต๊ะเจรจาให้เสียบรรยากาศ

 

ในแต่ละครั้งที่เยือนเวียดนาม สีจิ้นผิงจะเน้นความเป็นกันเองอย่างใกล้ชิดกับเหงียนฝูจ่อง ผู้นำฝ่ายเวียดนาม ตัวอย่างเช่น การเยือนเวียดนามของสีจิ้นผิงในปี 2017 สื่อจีน Xinhua รายงานว่า “สีจิ้นผิงได้ร่วมรับประทานมื้อเช้า จิบชา และเดินเล่นในสวน ภายใต้บรรยากาศที่ชื่นมื่นกับเหงียนฝูจ่อง” สีจิ้นผิงได้มอบของขวัญพิเศษให้กับเหงียนฝูจ่อง คือหนังสือพิมพ์ People Daily ฉบับเก่าสุดพิเศษที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ โดยบอกว่า “นี่คือหนังสือพิมพ์ที่รายงานข่าวประธานาธิบดีโฮจิมินห์แห่งเวียดนามเยือนจีนเมื่อปี 1955 พวกเราพยายามเสาะหาหนังสือพิมพ์นี้มามอบให้ท่าน” ทำให้เหงียนฝูจ่องรู้สึกเซอร์ไพรส์และยินดีมาก

 

อ้างอิง: Xinhua

อ้างอิง: Xinhua

 

นอกจากนี้ การเมืองภายในของเวียดนามมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์เวียดนาม-จีนมีความเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น ผลของการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 12 ในปี 2016 เพื่อเลือกผู้นำพรรคชุดใหม่ ในขณะนั้นกลุ่มการเมืองเวียดนามแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือกลุ่มอนุรักษนิยมมีนโยบายใกล้ชิดกับจีนนำโดยเหงียนฝูจ่อง และกลุ่มฝ่ายปฏิรูปมีนโยบายเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ นำโดย เหงียนเตินสุง ผลจากการลงคะแนนภายในพรรคปรากฏว่า กลุ่มของเหงียนฝูจ่องเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ทิศทางของเวียดนามปรับไปมีนโยบายที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้น

 

ในช่วงต้นปี 2017 เหงียนฝูจ่อง ในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้เดินทางเยือนจีนในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์เวียดนาม-จีน เอื้อให้บรรยากาศความสัมพันธ์สองทั้งสองฝ่ายมีท่าทีเป็นมิตรและผ่อนคลายมากขึ้น (ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2024 เหงียนฝูจ่องถึงแก่อสัญกรรมในวัย 80 ปี โดยมี โต เลิม (To Lam) ขึ้นรับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม)

 

ประการที่สี่ ความร่วมมือระบบรางกับจีน ขนส่งสินค้าเวียดนามไปไกลถึงยุโรป

 

เวียดนามเป็นประเทศพันธมิตรสำคัญของจีนภายใต้ ‘ยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI)’ ของสีจิ้นผิง และมีหลายโครงการสำคัญที่ร่วมมือกัน โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระบบรางผ่านเส้นทาง ‘รถไฟเวียดนาม-จีน-ยุโรป’ เริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 เวียดนาม-จีนเปิดให้บริการเส้นทางปฐมฤกษ์ เพื่อขนส่งสินค้าผ่านทางรถไฟ ‘ฮานอย-จีน-เบลเยียม’ จากต้นทางรถไฟในกรุงฮานอยของเวียดนาม ขนส่งสินค้าผ่านไปยังนครหนานหนิงของจีน จากนั้นก็ไปเชื่อมต่อกับระบบรางของจีน-ยุโรป ที่เรียกว่า China-Europe Railway Express ระยะทาง 10,000 กว่ากิโลเมตร ผ่านประเทศเวียดนาม-จีน-คาซัคสถาน-รัสเซีย-เบลารุส-โปแลนด์-เยอรมนี-เบลเยียม

 

ภาพแสดงแนวเส้นทางรถไฟ ‘เวียดนาม-จีน-เบลเยียม’ ปี 2021

 

ภาพแสดงแนวเส้นทางรถไฟ ‘เวียดนาม-จีน-เบลเยียม’ ปี 2021

 

เส้นทางรถไฟขนส่งสินค้าสายนี้วิ่งผ่าน 8 ประเทศและขนาดของรางก็ไม่เท่ากัน แล้วจีน-เวียดนามบริหารจัดการได้อย่างไร? เช่น ช่วงในเวียดนามราง 1 เมตร ช่วงในจีนใช้ราง 1.435 เมตร (Standard Gauge) ในขณะที่อีก 3 ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต คือ คาซัคสถาน รัสเซีย และเบลารุส ใช้รางรถไฟกว้างกว่าจีนขนาด 1.520 เมตร (Broad Gauge) พอไปถึงยุโรปที่โปแลนด์ใช้รางขนาด 1.435 เมตร ไปจนถึงประเทศปลายทาง แล้วรถไฟสายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบคือ แม้ว่าขนาดรางไม่เท่ากันไม่ใช่ปัญหา ฝ่ายจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักของรถไฟข้ามทวีปสายนี้สามารถบริหารจัดการด้วยการ Shift Mode ในช่วงรอยต่อขนส่งผ่านระบบรางระหว่างประเทศ โดยใช้วิธีการที่ทันสมัยในการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ Modern Transhipment เพื่อนำตู้สินค้าไปวางบนแคร่และใช้รางของแต่ละประเทศที่พาดผ่าน เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นได้รับค่าบริการ/ได้รับประโยชน์ด้วยกัน (กระจายผลประโยชน์ เพื่อลดแรงต้านในแต่ละประเทศด้วย) โดยมีบริษัทของฝ่ายจีนเป็นผู้บริหารจัดการ/ประสานงานตลอดเส้นทางที่ผ่านทั้ง 8 ประเทศนี้ นี่คือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ BRI ในยุคสีจิ้นผิงสมานฉันท์กับเวียดนาม

 

โดยสรุป ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจีน-เวียดนามขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้เวียดนามมีการพึ่งพาโยงใยทางเศรษฐกิจกับจีนเป็นอย่างมาก แม้ว่าในด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสองฝ่ายยังคงมีประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกันในทะเลจีนใต้ และยังคงมีกลุ่มเวียดนามชาตินิยมที่อาจจะต่อต้านจีน หากแต่ความสัมพันธ์ในระดับพรรคและความใกล้ชิดระหว่างผู้นำ ส่งผลให้ทั้งสองประเทศเลือกที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และหันหน้าเข้าหากัน สื่อสารพูดคุย และเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจมากขึ้นในยุคสมานฉันท์ เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้ กลายเป็นคู่ค้าสำคัญของกันและกัน รวมทั้งเวียดนามยังได้อ้าแขนต้อนรับการลงทุนจากจีนมากขึ้น และรู้จักฉกฉวยโอกาสจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ในการดึงดูดการลงทุนจากจีนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนามมากขึ้น ทำให้จีนขยับขึ้นมาเป็นนักลงทุนอันดับต้นในเวียดนาม

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง ในสมรภูมิระหว่างประเทศไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร ผู้นำที่ชาญฉลาดจะไม่นำประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นอุปสรรคในการร่วมมือกัน และกล้าที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง แปลงอุปสรรคให้เป็นโอกาส เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

 

ภาพ: ANI Photo / Reuters

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising