ในขณะที่ตะวันออกกลางกำลังร้อนระอุ อีกฟากฝั่งหนึ่งในทะเลจีนใต้ก็คุกรุ่นไม่แพ้กัน เมื่อกองทัพบกสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก (US Army Pacific) ประกาศผ่านเว็บไซต์ทางการว่า กองทัพประสบความสำเร็จในการติดตั้งระบบขีปนาวุธพิสัยกลาง (Mid-Range Capability: MRC) หรือที่รู้จักกันในชื่อระบบไทฟอน (Typhon Weapons System) บนเกาะลูซอนทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมทางทหารประจำปีระหว่างกองทัพบกฟิลิปปินส์กับกองทัพบกสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก การซ้อมรบร่วมดังกล่าวเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน โดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า Salaknib
แถลงการณ์ของกองทัพบกสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อวันที่ 15 เมษายน ระบุว่า หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ 1st Multi-Domain Task Force ได้เคลื่อนย้ายระบบขีปนาวุธพิสัยกลาง MRC โดยเครื่องบิน C-17 Globemaster ใช้เวลาเดินทางกว่า 15 ชั่วโมง รวมระยะทางมากกว่า 8,000 ไมล์ จากฐานทัพร่วม Joint Base Lewis-McChord ในรัฐวอชิงตัน มาถึงประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 11 เมษายน
การติดตั้งระบบดังกล่าวถือเป็น “หลักชัยสำคัญสำหรับการนำสมรรถนะใหม่มาใช้ ในขณะเดียวกันก็ยกระดับความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกัน ตลอดจนความพร้อมและการป้องกันประเทศร่วมกับกองทัพฟิลิปปินส์” แถลงการณ์ระบุ “สิ่งนี้จะสร้างโอกาสความร่วมมือใหม่ๆ สำหรับการฝึกซ้อมและการเตรียมพร้อมของเราทั้ง 2 ฝ่าย” พล.จ. เบอร์นาร์ด แฮร์ริงตัน ผู้นำหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ ระบุในแถลงการณ์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธจากภาคพื้นดินครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2019 เมื่อสหรัฐฯ ถอนตัวจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty: INF) ซึ่งสหรัฐฯ ทำร่วมกับสหภาพโซเวียตในปี 1987 โดยสนธิสัญญาดังกล่าวห้ามใช้ขีปนาวุธจากภาคพื้นดินทุกรูปแบบ ทั้งอาวุธทั่วไปและอาวุธนิวเคลียร์ ที่สามารถเดินทางได้ระหว่าง 500-5,500 กิโลเมตร
ขณะที่นักเคราะห์บางคนเชื่อว่า การนำระบบอาวุธดังกล่าวมาใช้เป็นครั้งแรกนี้จะมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของกองทัพบกสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยจะช่วยเสริมศักยภาพในการป้องปรามจีนได้
จีนต่อต้านอย่างแข็งกร้าว
ล่าสุดจีนได้ออกมาคัดค้านอย่างแข็งกร้าว บอกว่าการติดตั้งระบบขีปนาวุธพิสัยกลางของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นเป็นการแสวงหาความได้เปรียบทางทหารแต่เพียงฝ่ายเดียว
หลินเจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (18 เมษายน) ว่า จีนได้รับรายงานแล้วและมีความกังวลอย่างยิ่งต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว
“จีนขอคัดค้านอย่างรุนแรงกรณีที่สหรัฐฯ ติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในเอเชียแปซิฟิก และเสริมกำลังมาถึงหน้าประตูบ้านของจีนเพื่อแสวงหาความได้เปรียบทางทหารฝ่ายเดียว” หลินกล่าว พร้อมทั้งระบุว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ จะยิ่งทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาครุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการตัดสินใจผิดหรือเกิดการคำนวณที่ผิดพลาด
“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพในความกังวลด้านความมั่นคงของประเทศอื่นๆ อย่างจริงจัง หยุดกระตุ้นการเผชิญหน้าทางทหาร หยุดบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลดความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าว
นอกจากนี้ จีนยังเตือนฟิลิปปินส์ด้วยว่า ฟิลิปปินส์จะต้องมองให้เห็นถึงสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการอย่างแท้จริง และคำนึงถึงผลที่ตามมาจากการร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง ฟิลิปปินส์จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบอีกครั้งเกี่ยวกับการเป็นเครื่องมือให้กับสหรัฐฯ โดยแลกกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของตนเอง และหยุดก้าวเดินไปในเส้นทางที่ผิด
จับตามาตรการตอบโต้จากจีน
พ.อ.พิเศษ อู๋เฉียน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีน กล่าวเมื่อวันที่ 12 เมษายนว่า การที่สหรัฐฯ ผลักดันการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อันตรายที่จะคุกคามความมั่นคงของประเทศในภูมิภาคอย่างร้ายแรง ทั้งยังขัดขวางกระบวนการสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค จีนจึงคัดค้านอย่างแข็งกร้าวและจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยว
“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพความกังวลด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศอื่นๆ อย่างจริงจัง และหยุดบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค” โฆษกกลาโหมจีนกล่าว
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า ปักกิ่งอาจเสริมกำลังทหารในทะเลจีนใต้เพิ่มเติม ภายหลังการติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์ที่จะทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ในระยะโจมตี
Global Times สื่อกระบอกเสียงพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานอ้างผู้สังเกตการณ์บางคนระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาครุนแรงขึ้น นอกจากนี้ การติดตั้งระบบไทฟอนของสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์จะส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้อีกด้วย
ขณะที่ผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ กล่าวว่า การติดตั้งระบบขีปนาวุธดังกล่าวสะท้อนถึงการที่สหรัฐฯ กำลังใช้อิทธิพลทางทหารต่อฟิลิปปินส์มากขึ้นด้วยการเปลี่ยนประเทศให้เป็นฐานทัพทหารโดยแท้จริง และความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขีดความสามารถของขีปนาวุธพิสัยกลาง
Naval News หนังสือพิมพ์ของราชนาวีอังกฤษ รายงานว่า ระบบขีปนาวุธไทฟอนไม่เพียงครอบคลุมช่องแคบลูซอนทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังสามารถไปไกลถึงชายฝั่งจีนและฐานทัพหลายแห่งของกองทัพปลดปล่อยประชาชนในทะเลจีนใต้ด้วย
ด้าน Defense News ซึ่งเป็นสื่อด้านกลาโหมของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 กองทัพบกสหรัฐฯ มอบหมายให้สำนักงาน Rapid Capabilities and Critical Technologies Office ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำระบบขีปนาวุธพิสัยกลางมาใช้ โดยหลังจากการศึกษาการยิงเชิงยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการโดยฝ่ายพัฒนากำลังทหารของกองทัพบกเมื่อต้นปีนี้ ทีมพัฒนาพบช่องว่างในการเข้าถึงเป้าหมายของศัตรูในระยะ 500-2,000 กิโลเมตร
ขีปนาวุธพิสัยกลาง MRC จึงเหมาะนำมาใช้ร่วมกับขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่ยิงจากภาคพื้นดิน และระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นโจมตีความแม่นยำสูง (Precision Strike Missile) ซึ่งออกแบบมาเพื่อโจมตีเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไป 499 กิโลเมตร
ในเดือนพฤศจิกายน 2020 กองทัพเลือกบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่อย่าง Lockheed Martin มาช่วยสร้างต้นแบบขีปนาวุธพิสัยกลาง โดยทำสัญญามูลค่าเกือบ 340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
MRC ประกอบด้วยระบบการยิงแนวดิ่ง เครื่องยิงขีปนาวุธ 4 เครื่อง ศูนย์ควบคุม เครื่องต้นกำลัง (Prime Mover) รถพ่วงดัดแปลง และใช้ขีปนาวุธ SM-6 และโทมาฮอว์ก (Tomahawk) ที่ผลิตโดยบริษัท Raytheon
อย่างไรก็ตาม Global Times โควตนักวิเคราะห์ของจีนบางคนที่แสดงความเห็นว่า ระบบขีปนาวุธดังกล่าวจะสร้างภัยคุกคามต่อจีนอย่างจำกัดเท่านั้น โดยสามารถหวังผลทางการเมืองได้มากกว่าผลลัพธ์ทางการทหาร
ภาพ: US ARMY PACIFIC
อ้างอิง:
- https://www.defensenews.com/land/2024/04/16/us-army-deploys-midrange-missile-for-first-time-in-philippines/
- https://www.globaltimes.cn/page/202404/1310867.shtml
- https://www.scmp.com/news/china/military/article/3259453/south-china-sea-will-beijing-ramp-military-presence-after-very-strategic-deployment-us-missile