การพุ่งขึ้นของการส่งออกจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังสหรัฐอเมริกาในปีนี้ จุดกระแสถกเถียงว่าจีนอาจใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอีกระลอก โดยเฉพาะเวียดนามและไทยที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด
โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่าบางประเทศเอื้อให้ผู้ส่งออกจีนหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการระบุแหล่งกำเนิดสินค้าไม่ถูกต้อง และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าที่ตรวจพบว่ามีการ “เปลี่ยนเส้นทาง”
ฮาวาร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อต้นปีว่า เวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนเพิ่มมูลค่าเพียงเล็กน้อยแล้วส่งต่อมายังสหรัฐฯ ซึ่งในมุมมองของรัฐบาลวอชิงตันถือเป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางสินค้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมาก มองว่า รูปแบบการค้าที่เปลี่ยนไปหลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษี “ตอบโต้” ตั้งแต่เดือนเมษายน สะท้อนการปรับโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานและชัดเจน
ข้อมูลศุลกากรจีนระบุว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม การส่งออกของจีนไปยังเวียดนามและไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่นในอาเซียนก็ขยายตัวเป็นตัวเลขสองหลักเช่นกัน พร้อมกันนี้ การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับเวียดนามและไทยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
แม้ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนอัตราภาษีใหม่มีผลในเดือนสิงหาคม แต่ข้อมูลหลายชุดชี้ว่าการค้าในภูมิภาคยังขยายตัวต่อเนื่อง
งานวิจัยของสถาบัน Lowy ระบุว่า การส่งออกของอาเซียนในเดือนตุลาคมสูงกว่าปีก่อนถึง 15% ขณะที่ข้อมูลของ Kpler ชี้ว่าการส่งออกจากจีนไปอาเซียนในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นราว 10%
การเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและชิ้นส่วนต้นน้ำ เช่น ชิปและหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ ขณะที่เวียดนามและไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในรูปสินค้าสำเร็จรูป โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน และเครื่องเล่นเกม สะท้อนบทบาทฐานการประกอบในภูมิภาค
นักวิเคราะห์ชี้ว่า แนวโน้มนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ “จีนบวกหนึ่ง” (China plus one) ที่ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังอาเซียน เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีสหรัฐฯ หลังสงครามการค้าระลอกแรก แม้ว่าวัตถุดิบต้นน้ำจำนวนมากยังคงมาจากจีน เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์มีความเป็นสากลสูง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจีนลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ภูมิภาคนี้คิดเป็นกว่าหนึ่งในสามของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีน ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตสหรัฐฯ จำนวนมากก็ย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังคงกังวลว่าบางบริษัทอาจตั้งสายการประกอบขนาดเล็กหรือบริษัทบังหน้าในประเทศอาเซียนเพื่อใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขทางการค้า ขณะที่กฎเกณฑ์ว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (transshipment) ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ซึ่งอาจกระทบแม้แต่แบรนด์อเมริกันที่ผลิตในเวียดนามและยังพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน
ภาคธุรกิจในภูมิภาคระบุว่า การลักลอบเปลี่ยนเส้นทางในปีนี้ไม่รุนแรงเท่าช่วงก่อน รัฐบาลเวียดนามได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า ขณะที่การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อหลายประเทศในอาเซียน ทำให้แรงจูงใจในการใช้เส้นทางอ้อมลดลง
นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า สหรัฐฯ มีความสำคัญต่อจีนในฐานะตลาดส่งออกลดลง จีนจึงหันไปกระจายตลาดไปยังอาเซียน ยุโรป และภูมิภาคอื่นมากขึ้น
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอาเซียนพยายามพยุงเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เช่น เวียดนามที่ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยสรุป ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า การค้าผ่านแดนมีอยู่จริงในบางส่วน แต่ภาพรวมสะท้อนการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกมากกว่าการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างเป็นระบบ และแนวโน้มการบริโภคในอาเซียนที่แข็งแกร่งอาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป
ภาพ: pma2010 / Getty image
อ้างอิง:


