แม้ว่าในตอนนี้สงครามการค้าและศึกเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะดูเป็นฝ่ายแรกที่กุมความได้เปรียบและแต้มต่อที่เหนือกว่าฝ่ายหลังอยู่พอสมควร แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะประมาทพญามังกรรายนี้ได้ เพราะต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา จีนเองก็เร่งฝีเท้าพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของพวกเขาออกมาได้รวดเร็ว และในบางเซกเตอร์ก็ดูจะแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้วด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น 5G
จากการเปิดเผยล่าสุดโดย The Wall Street Journal พบว่า ในการประชุมประจำปีของรัฐบาลจีน พวกเขาได้ร่างแผนงาน 5 ปี ในการมุ่งสร้างความได้เปรียบของการเป็นชาติมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความมั่นคงของชาติและในแง่มุมอื่นๆ โดยรวม
ภายใต้การตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จีนยังเตรียมที่จะสร้างห้องแล็บ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องใน 7 กลุ่มนวัตกรรมอย่าง AI, ไบโอเทค (เทคโนโลยีชีวภาพ), พันธุศาสตร์, แผงวงจรรวม (Integrated Circuit), ประสาทวิทยา, เทคโนโลยีอวกาศ และคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเทคโนโลยีที่จีนตั้งเป้าจะพัฒนาและเป็นผู้เชี่ยวชาญให้ได้
พร้อมกันนี้ รัฐบาลจีนยังตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาทั่วๆ ไปเพิ่มอีก 10.6% ในปีนี้ ภายใต้กลยุทธ์ ‘10-year Research Strategy’ อีกด้วย รวมถึงการเตรียมจะปรับแก้กฎหมายและนโยบายบางส่วนเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับกลุ่ม VC ในการเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพในประเทศ ผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อของธนาคาร และลดหย่อนการจัดเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนและกระตุ้นกระบวนการ R&D ให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างต่อเนื่อง
อเล็กซ์ คาปรี (Alex Capri) นักวิจัยอาวุโสจากคณะวิชาธุรกิจประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ระบุว่า “การเป็นผู้นำในด้านปัญญาประดิษฐ์และคอมพิวติงจะช่วยให้จีนต่อยอดความได้เปรียบด้านประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเชิงสงครามลูกผสมและการรวบรวมข้อมูลของหน่วยข่าวกรอง”
ขณะที่ ทอมมี ซี นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร OCBC ในสิงคโปร์ เชื่อว่าเทคโนโลยีทั้ง 7 ด้านที่ทางจีนเตรียมจะเพิ่มความเข้มข้นในกระบวนการพัฒนานั้น ต่างก็เป็นกลุ่มเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ฝั่งชาติคู่รักคู่แค้นอย่างสหรัฐฯ ให้ความสำคัญในกระบวนการพัฒนาเช่นกัน
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: