วันนี้ (24 ตุลาคม) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการ ‘มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้’ รุ่นที่ 7 เยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดย จางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ‘50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน’
น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า กิจกรรมนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018 เป็นผลจากความร่วมมือสองฝ่ายคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันเกี่ยวกับประเทศจีนในมิติที่รอบด้านแก่สื่อมวลชนไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ จะสามารถกลับมารายงานข่าวสารไปสู่คนไทยได้อย่างตรงไปตรงมา
“การจัดอบรมในปีนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็น ‘ปีทองแห่งมิตรภาพ’ ที่สะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนานของทั้งสองประเทศ นอกเหนือจากการรับฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจีนในประเทศไทยแล้ว คณะจะเดินทางไปเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประตูยุทธศาสตร์ที่เชื่อมจีนเข้ากับอาเซียน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในข้อริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (Belt and Road Initiative) ด้วย”
ด้านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความร่วมมือในการจัดโครงการนี้และหวังว่า สื่อมวลชนจะเป็น ‘สะพานเชื่อมความสัมพันธ์’ ของสองฝ่ายไปสู่อีก 50 ปีทองต่อไป พร้อมกล่าวถึงผลการทำงานภายใต้ ‘แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14’ ของจีนซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผน ซึ่งจีนต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านทั้งสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน และมีภารกิจการปฏิรูป การพัฒนา และการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ
อย่างไรก็ตามถือว่า จีนมีส่วนช่วยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากถึงประมาณ 30% ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบการพัฒนาเศรษฐกิจจีนตามแผนฯ พบว่าเติบโตทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจาก 110 เป็น 120 ล้านล้าน และ 130 ล้านล้านหยวนตามลำดับ โดย 4 ปีแรกมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5.5% และคาดว่าตลอด 5 ปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 35 ล้านล้านหยวน โดยปีนี้ (2025) คาดว่า GDP จะสูงถึงราว 140 ล้านล้านหยวน
เป้าหมายหลักของ ‘แผนฉบับที่ 15’ ซึ่งจะเริ่มในปีหน้านั้น จะเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการชี้นำทิศทางการพัฒนาของประเทศ ผลักดันแนวปฏิบัติของการพัฒนาประเทศ และกำกับการพัฒนาของประเทศจีน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพสูง ยกระดับความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงปี 2035 จีนจะสามารถบรรลุความยิ่งใหญ่ ทั้งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ความมั่นคง ความเข้มแข็งในภาพรวมและบทบาทในเวทีโลก รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนจีนจะเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาในระดับปานกลาง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุข และบรรลุความทันสมัย ตามแบบของระบอบสังคมนิยม
เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ยังกล่าวด้วยว่า จีนกลายเป็น ‘แหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมของโลก’ อยู่ใน 10 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการพัฒนานวัตกรรมที่เร็วที่สุดของโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้จีนกลายเป็นผู้นำโลกด้านการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ในช่วง 4 ปีแรก จีนสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 5.5% ด้วยอัตราการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 4.7% ความเข้มข้นของการใช้พลังงานลดลงสะสมถึง 11.6% ในปัจจุบัน พลังงานไฟฟ้าที่ประชาชนจีนใช้ทุก ๆ 3 หน่วย จะมี 1 หน่วยเป็นพลังงานสีเขียว ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ใช้พลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก จีนมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน มีผู้มีรายได้ปานกลางมากกว่า 400 ล้านคน มีการบริโภคเกือบ 50 ล้านล้านหยวนต่อปี และมีการนำเข้ากว่า 20 ล้านล้านหยวนต่อปี ดังนั้น ตลาดขนาดใหญ่ของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านจาก ‘การตอบสนองความต้องการภายในประเทศจีน’ เป็น ‘โอกาสของโลก’
นอกจากนี้ จางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยยังกล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมหลอกลวงที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้ โดยมีการเชื่อมโยงไปถึงผู้ต้องหาสัญชาติจีนว่า รัฐบาลจีนชื่นชมฝ่ายไทยที่ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวรวมทั้งกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วย
“กรณีแก้ปัญหาสแกมเมอร์ทั้งไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ความมั่นคงรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และรักษาระเบียบการอยู่ร่วมกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ในประเด็นความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้น จีนยึดมั่นในจุดยืนที่เป็นกลางและเป็นธรรมมาโดยตลอด อีกทั้งพยายามช่วยไกล่เกลี่ยและผลักดันการเจรจา จีนสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาด้วยสันติวิธี และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาตาม”แนวทางของอาเซียน”

ภาพ: สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
อ้างอิง:
- สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


