×

คาดตลาดหุ้นจีนแค่ฟื้นไข้ มองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ยังตอบไม่ตรงโจทย์ ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ยาก

26.09.2024
  • LOADING...

ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจกับตลาดหุ้นจีนนับตั้งแต่ต้นปี 2024 ถึงปัจจุบันมีความผันผวนสูง โดยช่วงต้นปีนี้ตลาดหุ้นจีนปรับฐานลงมาก่อนที่รัฐบาลจีนจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นจีน CSI 300 สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างแรง โดยในระยะเวลา 3 เดือนตลาดหุ้นสามารถปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นได้ถึง 15%

 

อย่างไรก็ดี หลังจากมาตรการดังกล่าวออกมาแล้ว จีนทยอยประกาศตัว GDP และข้อมูลด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งไม่ได้สะท้อนผลลัพธ์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นมากนัก

 

ชำแหละนโยบายรัฐบาลจีน ฟื้นเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น

 

ล่าสุดรัฐบาลจีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่รอบใหญ่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา โดยหากวิเคราะห์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้จะพบว่า เป็นนโยบายที่เน้นเกี่ยวข้องกับภาคตลาดทุน ได้แก่ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 7 วัน ลง 0.2% จาก 1.7% เหลือ 1.5%, ปรับลดอัตราส่วนกันเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% เพิ่มสภาพคล่องเข้าระบบ โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีนประมาณ 5 แสนล้านหยวน

 

อีกทั้งยังมีนโยบายปรับลดเงินดาวน์บ้านหลังที่สอง รวมถึงนโยบายปรับลดดอกเบี้ยกับประชาชนที่ผ่อนบ้านอยู่แล้วลงมา 0.5% ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจีนใช้มาแล้วก่อนหน้านี้

 

อย่างไรก็ดี นโยบายใหม่ที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจีนในรอบนี้มีมาตรการใหม่เพิ่มเติมคือ การที่รัฐบาลจีนเปิดให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และภาคธุรกิจประกัน สามารถกู้เงินจากรัฐบาลจีนเพื่อนำไปลงทุนซื้อหุ้นได้ ถือเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ไม่เคยใช้มาก่อน จึงถือว่าเป็นความพยายามใหม่ๆ ของรัฐบาลจีนที่จะเข้ามาช่วยฟื้นตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนตอบรับเชิงบวกโดยปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

ชาตรีประเมินต่อว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนไม่ได้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง เพราะมีสภาพคล่องอยู่แล้วในปริมาณที่สูง โดยสะท้อนได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีที่ให้ดอกเบี้ยเพียง 2% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมาก

 

ปัญหาใหญ่ นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นตลาดหุ้นจีน

 

ดังนั้นมีมุมมองว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นจีนยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจีนต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น ทั้งในการแก้ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาการว่างงาน และปัญหาการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่รัฐบาลออกมาในรอบนี้ยังตอบไม่ตรงโจทย์ในการสร้างความเชื่อมั่นดังกล่าวเหล่านี้

 

การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในรอบนี้มองว่าภาพในระยะสั้นยังเป็นการรีบาวด์ทางเทคนิค ทั้งนี้ มีปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะต่อไป กล่าวคือรัฐบาลจีนน่าจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากนโยบายที่ออกมาแล้ว เพื่อสนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนกลับสู่ขาขึ้นแบบถาวร

 

เปิดกลยุทธ์ลงทุน ลุยหรือถอยหุ้นจีน

 

ทั้งนี้ มีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ทยอยเก็บสะสมลงทุนในหุ้นจีนก่อนหน้านี้ ให้ใช้โอกาสในจังหวะที่ตลาดหุ้นจีนดีดตัวเพิ่มขึ้นขายทำกำไรออกมาเพื่อเล่นรอบ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบ Follow Buy มองว่า แม้ยังมี Upside ก็สามารถทำได้ แต่ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง

 

สำหรับนักลงทุน ในระยะยาวมองว่าตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากหากมีการเปรียบเทียบมูลค่าของตลาดหุ้นจีนกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกจะพบว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีมูลค่าที่ค่อนข้างถูกมาก โดยหุ้น A-Share คือดัชนีหุ้นจีนที่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ปัจจุบันมีการซื้อขายอยู่บน P/E Ratio ที่ประมาณ 10 เท่า

 

ส่วนหุ้น H-Share คือดัชนีหุ้นจีนฮ่องกง ซึ่งรวมเอาบริษัทที่มีฐานธุรกิจในจีนแต่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ปัจจุบันมีการซื้อขายอยู่บน P/E Ratio ที่ต่ำเพียง 8 เท่า เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย P/E Ratio ของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 16 เท่า โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับอินเดีย ที่มี P/E Ratio เกิน 20 เท่า ส่วนตลาดญี่ปุ่นมี P/E Ratio ที่ประมาณ 20 เท่า โดยตลาดหุ้นจีนจึงถือว่ามี P/E Ratio ถูกที่สุดในเอเชีย

 

นอกจากนี้หากดูแนวโน้มการเติบโตของกำไรของตลาดหุ้นจีนโดยนับจากต้นปีนี้ โดยเฉพาะหุ้น H-Share ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์มีมุมมองปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนใน H-Share ขึ้นประมาณ 5% ซึ่งสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอลง ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในหุ้น H-Share ของจีนมีสินค้าและบริการที่มีมาตรฐานสูงและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เช่น แบรนด์ BYD, Xiaomi และ TikTok 

 

ดังนั้นในกลุ่มนักลงทุน Value Stock ที่ต้องการลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ให้มองหาโอกาสลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีและสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ อาทิ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดหุ้น H-Share และแตกต่างกับ A-Share ที่พึ่งพิงในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Domestic หรือความต้องการในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, หุ้นอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังคงต้องใช้เวลาฟื้นตัว รวมถึงการปรับใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และมองว่ายังไม่ใช่ตลาดหุ้นที่เหมาะกับการเก็งกำไรซื้อขายระยะสั้น

 

ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนในพอร์ตและขาดทุนจากตลาดหุ้นจีน แนะนำให้ใช้จังหวะในช่วงที่ราคาหุ้นตลาดจีนฟื้นตัวมาขายออกสลับกับขายหุ้น A-Share ย้ายเงินลงทุนในหุ้น H-Share หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแทน เพราะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีความแข็งแรง ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ก่อนหุ้นกลุ่มอื่นๆ

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising