×

‘ห้ามยิ้ม เขียนหน้า เจ็บไม่จ่าย’ เปิดชีวิตแรงงานไทยในโรงงานจีน

10.05.2025
  • LOADING...
china-grey-capital-labor-rights-violation-thailand

ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่ว่าหันไปทางไหนก็เจอแต่การเข้ามาของทุนจีน ทั้งในรูปแบบร้านค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงการเข้ามาทำโรงงานที่จำนวนไม่น้อยถูกเรียกว่า ‘ทุนศูนย์เหรียญ’ ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบกฎหมายของไทยอย่างถูกต้อง และสายพานสำคัญของธุรกิจจีนเทาอย่าง ‘แรงงาน’ ก็มักปรากฏให้เห็นว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่แรงงานไทย แต่เป็นเหล่าแรงงานข้ามชาติ 

 

แรกเริ่มเรามองเรื่องนี้ไปยังประเด็นว่าที่ทุนจีนเทาไม่จ้างแรงงานไทยอาจมีเหตุผลมากกว่าข้อกังขาเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน แต่เป็นเรื่องที่ว่าแรงงานข้ามชาติมักเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ยากกว่าคนไทย จึงใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายกดขี่แรงงานข้ามชาติ แต่พอได้เจาะลึกเรื่องนี้มากขึ้นกลับพบว่าแรงงานไทยจำนวนไม่น้อยถูกโรงงานจีนที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงไม่แพ้กับแรงงานชาติอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ในไทย

 

เมื่อทุนจีน(เทา) เบี้ยวค่าจ้าง ลดตำแหน่ง กดขี่แรงงาน

 

หลังได้เห็นการเข้ามาของทุนจีนเทามากขึ้น สิ่งที่ตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้คือข่าวเรื่องการละเมิดสิทธิแรงงานของโรงงานจีนที่ตั้งอยู่ในไทยในรูปแบบต่างๆ ที่มีตั้งแต่ความรุนแรงน้อย ไปจนถึงการบาดเจ็บหนัก และพวกเขาก็มักไม่ได้รับความยุติธรรมจากสิ่งที่เกิดขึ้น

 

รายการ KEY MESSAGES ได้รวบรวมเหตุการณ์จากแหล่งข่าวจำนวนหนึ่ง พบว่ามีโรงงานจีนแห่งหนึ่งออกประกาศบริษัทช่วงปลายปี 2566 ที่มีกฎระเบียบเข้มงวดหลายอย่างการระบุว่า พนักงานในไลน์ผลิตต้องให้ความสำคัญกับสินค้าที่กำลังผลิตอยู่ โดยแสดงออกด้วยการห้ามยิ้มแย้มเวลาหัวหน้างานคนจีนเดินผ่าน ลูกจ้างห้ามเงยหน้ามอง ห้ามสบตา หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษด้วยการยืน 5 นาที และถูกออกใบเตือน รวมถึงออกกฎว่าแรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องกลับเข้าไปทำงานในไลน์ผลิตที่มีการใช้สารเคมีหนักอย่างทินเนอร์ โดยไม่ได้พูดถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของแม่และเด็ก

 

ทุนจีน (เทา)

 

แหล่งข่าวรายแรก: “มีเอกสารออกมาชัดเจนว่าห้ามมองหน้าผู้บริหาร ห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะ ให้ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว คนเผลอมองก็จะถูกทำโทษโดนใบเตือน ตอนที่ทำงานอยู่เราเป็นเหมือนกับตัวแทนของพนักงาน ทีนี้มีพนักงานเขียนเอกสารแล้วให้เราไปแจ้งฝ่ายบุคคลว่าไม่เห็นด้วย แต่ก็พอเราไปแจ้ง ฝ่ายบุคคลบอกว่าเป็นกฎของแผนก ไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งสิ่งที่เราแจ้งไปคือเรื่องขอไม่ให้คนท้องลงไลน์ผลิต เพราะเครื่องจักรมีสารตะกั่วเยอะ เราก็ทำท่าให้ดูว่าพอคนท้องเข้าไปนั่งในไลน์การผลิตท้องจะชนกับตัวเบลต์ เขาก็ไม่ยอม เขาก็จะมารื้อที่ที่เราจัดไว้สำหรับคนท้อง ยืนยันจะให้ลงไลน์เพราะถ้าไม่ลงก็สิ้นเปลืองทรัพยากร เขาว่าอย่างนั้น”

 

KEY MESSAGES ยังได้คุยกับแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาเล่าว่าผู้จัดการโรงงานจีนแห่งหนึ่งเรียกพนักงานระดับปฏิบัติการเข้าประชุมเพราะมีคำสั่งเพิ่มยอดการผลิตสินค้า แต่ระหว่างการประชุม ผู้จัดการหยิบปากกาไวท์บอร์ดแล้วเขียนเลข 4,000 บนหน้าผากของพนักงานรายนี้ และย้ำกับทุกคนว่าตัวเลขดังกล่าวคือเป้าหมายที่ทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมถึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนถูกผู้จัดการทุบตีเวลารู้สึกไม่พอใจ

 

ทุนจีน (เทา)

 

แหล่งข่าวรายที่สอง: “หน้าที่ของเราคือการเอาแพ็กเกจจิ้งสินค้าที่เก็บอยู่ด้านนอกของโกดังเข้ามาด้านใน กล่องพวกนี้พอวางทิ้งไว้พักหนึ่งมันจะมีฝุ่นเกาะ เราก็แจ้งหัวหน้าว่าสินค้าเหล่านี้เอามาจากด้านนอก ยังไม่ได้แกะทำความสะอาดเพราะเพิ่งไปรับเข้ามา 

 

“อยู่ๆ หัวหน้าเอามือลูบกล่องสินค้า เสร็จแล้วก็ตบเข้าที่หลังจนเป็นรอยมือ แล้วพูดว่าพื้นที่นี้เราเป็นคนรับผิดชอบ เรารับของสภาพแบบนี้เข้ามาได้อย่างไร โดยที่เขาไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น ซึ่งเราทำได้แค่ยืนเงียบๆ เพราะเราทำอะไรไม่ได้ อธิบายไปเขาก็ไม่ฟังอยู่แล้ว” 

 

“มีอีกเหตุการณ์หนึ่งคือประชุมกันเพื่อตกลงกันว่าต้องการงานวันละเท่าไร ด้วยความคึกคะนองของเขา เขาเอาปากกาเคมีมาเขียนเลข 4,000 ที่หน้า โดยที่บอกว่า 4,000 นี้คือเป้าหมายเดียวกันทั้งโรงงาน แต่เจาะจงเขียนที่หน้าเราคนเดียว เราก็ไปร้องเรียนกับ HR แต่ฝ่ายกลับบอกว่าเขาอาจจะทำไปโดยไม่รู้ตัว เราจึงรู้ว่าร้องเรียนไปก็ไม่เกิดประโยชน์”

 

ทุนจีน (เทา)

 

ทำให้บาดเจ็บ ปกปิดความผิด ไร้ความรับผิดชอบ

 

ไม่ใช่แค่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานเท่านั้น รายการ KEY MESSAGES ได้พูดคุยกับผู้เสียหายอีกรายที่ทำงานในโรงงานจีนแถบชลบุรี เขาประสบอุบัติเหตุจากการทำงานถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือการถูกรถโฟล์คลิฟท์ชนในโรงงาน และครั้งที่สองถูกสายพานดูดแขนจนกลายเป็นผู้พิการ แต่สิ่งที่ได้รับจากโรงงานคือการถูกไล่ออกด้วยเหตุผลว่าเขาประมาทเอง

 

แหล่งข่าวรายที่สาม: “ปกติเส้นทางนั้นจะมีพนักงานเดินเข้าออกประจำอยู่แล้ว ถ้ารถโฟล์คลิฟท์ขับมาเขาจะต้องบีบแตรมาแต่ไกลประมาณ 3 ครั้ง แต่วันนั้นไม่มีเสียงแตร พอเดินออกมารถก็ชน แล้วโรงงานเขาก็บอกว่าเราประมาท ผมโดนใบเตือน โดนหักตังค์โทษฐานที่เราประมาท 

 

“ส่วนครั้งที่สอง หัวหน้าช่างคนจีนสั่งให้เราเอาเศษยางที่ติดอยู่ใต้สายพานออก เขาอยากให้เราเอามีดกรีดแล้วก็ดึงออก แล้วในจังหวะที่ผมพยายามดึงยางออกมา มันก็ดูดเข้าไปเลย”

 

ผู้เสียหายรายนี้ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลร่วมสองเดือน ผ่านการผ่าตัดหลายรอบ ต้องเอาเนื้อบริเวณต้นขามาใส่แขนแล้วดามด้วยเหล็กแทนกระดูก เมื่อเริ่มฟื้นตัวเตรียมกลับเข้าทำงานก็มีเจ้าหน้าที่จากโรงงานแจ้งให้ออก ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้พิการและไม่สามารถหางานทำได้เหมือนเดิม

 

กระดูก xray

 

แหล่งข่าวรายที่สาม: “เขาบอกตอนผมออกจากโรงพยาบาลได้เดือนกว่าๆ ว่าไล่ออก เพราะเราประมาท เราไม่หยุดเครื่อง เราผิดกฎข้อ 8+3 ของ SOP (Standard Operating Procedure: ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ถูกกำหนดขึ้นภายในองค์กร) คือผมจะพูดอย่างไร ถ้าผมหยุดเครื่องแล้วแขวนป้าย เราก็จะโดนไปเตือน โดนหักเงิน เพราะว่าเครื่องจักรจะต้องห้ามหยุดทำงาน เพราะผู้จัดการย้ำตลอดว่าต้องเร่งผลิตทุกวันทั้งวัน”

 

อีกเคสหนึ่งเป็นแรงงานชาวไทยที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาชาวจีนให้ยกแผ่นเหล็กหนักประมาณ 200 กิโลกรัมออกจากพื้นที่ เพื่อจะได้ผลิตแผ่นเหล็กใหม่ แต่เครนแม่เหล็กเกิดทำงานผิดพลาด ส่งผลให้แผ่นเหล็กหล่นทับขาซ้ายจนเนื้อเปิด เมื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ระบุว่ากระดูกหน้าแข้งส่วนกลางหัก แต่โรงงานจีนกลับไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน

 

บาดแผล

 

และแหล่งข่าวรายที่สี่ เล่าให้เราฟังว่าเธอทำงานอยู่ในไลน์ผลิตแล้วเกิดอุบัติเหตุมือกระแทกกับเครื่องม้วนขดลวดจนได้รับบาดเจ็บ จึงเข้าไปที่ห้องพยาบาลของบริษัท แต่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยกลับไม่ยอมออกเอกสารใดๆ เพื่อให้ไปหาหมอระหว่างเวลางาน บอกให้รอเลิกงาน 5 โมงเย็นแล้วไปหาหมอเอง แต่เมื่อหาหมอเสร็จ นายทุนจีนกลับบ่ายเบี่ยงที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้ 

 

แหล่งข่าวรายที่สี่: “เขา (หัวหน้าชาวจีน) พูดประมาณว่ากระดูกมือมีปัญหาอะไรไหม แตกหักไหม หนูก็บอกว่าไม่มีแตกหัก แล้วเหมือนแอป WeChat แปลออกมาว่า “แล้วทำไมต้องพัก แค่บาดเจ็บนิดหน่อยใช่ไหม” แล้วเขาก็บอกว่า “งานมันเยอะนะ จะกลับมาทำงานได้ไหม” ก็ตอบไปว่าเส้นเอ็นอักเสบรุนแรง คุณหมอให้พัก ถ่ายรูปไปให้เขา แล้วเขาบอกกลับมาว่าที่ห้องพยาบาลบอกว่ากระดูกไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปเอ็กซเรย์อีก วันต่อมาหนูก็ถ่ายรูปบิลค่ารักษาทั้งหมดให้เขา แจ้งว่าหนูใช้เงินตัวเองทั้งหมดจะเบิกกับบริษัทได้ไหม แล้วแอป WeChat มันแปลว่า “ควรจะเป็นแบบนั้นเหรอ…อาจจะไม่นะ”

 

จากกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราได้เห็นแรงงานจำนวนมากถูกลดตำแหน่ง ถูกเลิกจ้างกะทันหัน ไม่ได้รับค่าชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่จริงๆ แล้วคำสั่งเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ลดตำแหน่ง ลดเงินเดือน ตามกฎหมายไทยไม่สามารถทำได้และลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธ 

 

แต่ในความเป็นจริง แรงงานส่วนใหญ่มักไม่รู้ถึงเงื่อนไขนี้ เพราะถูกโรงงานบอกว่าเป็นความผิดของพวกเขาเอง หรือบางคนอาจจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ยุติธรรมแต่ไม่รู้จะเรียกร้องสิทธิคืนมาอย่างไร ต้องทำวิธีไหน ใช้เวลายาวนานเท่าไหร่ หรือต้องไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดได้บ้าง

 

การต่อสู้ของแรงงานที่ไม่รู้จะสู้อย่างไร สู้อีกนานแค่ไหน

 

พื้นที่จังหวัดชลบุรีมีโรงงานและแรงงานจากทั่วประเทศอยู่เป็นจำนวนมาก เราจึงสอบถามไปยัง สหัสวัต คุ้มคง สส. เขตชลบุรี สัดส่วนปีกแรงงาน พรรคประชาชน เขาอธิบายภาพรวมที่เกิดขึ้นว่าเพราะแรงงานส่วนใหญ่มาจากบริษัทจัดหางานแบบซับคอนแทร็กหรือ ‘พนักงานไม่ประจำ’ ส่งผลให้โรงงานแทบไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ถ้าไม่ถูกใจลูกจ้างก็แค่ส่งคืนบริษัทซับฯ ส่งผลให้แรงงานไทยจำนวนมากไม่มีความมั่นคงในการจ้างงาน

 

สหัสวัต คุ้มคง: “แม้ถูกกดขี่ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจก็ไม่ได้ดี ทำให้ทางเลือกของแรงงานในพื้นที่มีน้อยลง จะไปหางานบริษัทอื่นก็ไม่ได้หาง่ายๆ เลยต้องทนอยู่กับโรงงานแบบนี้ไปก่อน กลายเป็นสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแรงงาน

 

“ไม่ใช่ว่าก่อนจีนเข้ามาจะไม่มีเรื่องแบบนี้ แต่พอจีนเข้ามามันเหมือนกระตุ้นให้เรื่องนี้รุนแรงขึ้น ซึ่งเราก็ไม่พบเห็นบริษัทสัญชาติอื่นที่รุนแรงเท่าบริษัทจีน คือพูดกันแบบขำๆ ว่าสมัยก่อนนายจ้างเกาหลีโหดมาก นายจ้างไต้หวันเขี้ยว แต่พอมีนายจ้างจีนเข้ามาเยอะๆ กลายเป็นว่าทุกคนรู้สึกว่าเกาหลีน่ารักไปเลย”

 

“มันเลวร้ายมากกับการที่เราให้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาลงทุนแล้วก็มากดขี่คนบ้านเรา เข้ามาลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนในบ้านเรา” 

 

เมื่อเกิดการละเมิดสิทธิ หรือถูกนายจ้างปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นธรรม หน่วยงานแรกที่เหล่าแรงงานจะต้องเข้าไปเรียกร้องและขอความช่วยเหลือคือ ‘สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน’ ในจังหวัดนั้นๆ แต่มักจะมีปัญหาที่พบบ่อยตามมาอีก ในแง่อุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆ ของแรงงาน 

 

บุญยืน สุขใหม่ ทนายความ นักสหภาพแรงงาน และตัวแทนกลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก ระบุว่าพอไม่มีการตรวจสอบเชิงรุก ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยมาดูว่าแต่ละโรงงานมีการละเมิดสิทธิหรือไม่ ต้องเกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยไปร้องเรียน พอถึงเวลาแรงงานจำนวนมากก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปตรงไหน หรือบางคนรู้แต่ไม่สามารถไปได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยระยะเวลา ด้วยการเดินทาง ด้วยทุนทรัพย์ต่างๆ หลายคนมาจากภาคอีสานเพื่อทำงาน เมื่อถูกเลิกจ้างก็ไม่มีเงินไปทำเรื่องจ้างทนาย ที่สังคมก็เห็นอยู่แล้วว่าการร้องเรียนไม่สามารถทำได้จบเพียงแค่วันเดียว 

 

บุญยืน สุขใหม่: คนงานที่นี่ (ชลบุรี) มีแต่คนอีสานมาจากสุรินทร์ มาจากบึงกาฬ มาจากบุรีรัมย์ เขาไม่รู้หรอกว่าสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีอยู่ที่ไหน หรือบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องไปหน่วยงานนี้ หรือเวลาไปร้องเรียนยื่นคำร้องก็ใช้เวลา 20 วัน ก่อนพนักงานตรวจออกคำสั่ง พอมีคำสั่งแล้วฝ่ายนายจ้างไม่พอใจก็ไปอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งศาล ที่ยืดเยื้อใช้เวลาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติหรือแรงงานไทยก็เป็นปัญหาเดียวกัน เราก็ไม่อยากจะใช้คำว่า ‘ตามเวรตามกรรม’ แต่นี่คือสิ่งที่เราเห็น

 

“ขณะเดียวกัน ด้วยอาชีพของเราที่ต้องไปโรงพักบ่อย มันจะมีกลุ่มคนคอยมานั่งเคลียร์มีบัตรแปลกๆ เหมือนที่อยู่ในข่าวเป๊ะเลย เรารู้สึกว่า ‘อะไรวะ บ้านกูทำไมมันแย่ขนาดนี้’ ประเทศไทยทำไมมันปล่อยให้ คือสังคมมันก้าวมาสู่จุดนี้ได้ไวมาก” 

 

กลุ่มพัฒนาตัวแทนแรงงานสัมพันธ์ตะวันออกให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ไม่ค่อยมีแรงงานออกมาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขามากนัก ไม่ใช่แค่ความยากลำบากในการเข้าถึงกระบวนการ แต่รวมถึงเหตุผลที่บริษัทจีนบางเจ้ามักฟ้องปิดปากหรือฟ้อง SLAPP ต่อแรงงานที่เป็นผู้เสียหาย ใช้กระบวนการทางกฎหมายทำให้ผู้ถูกฟ้องหยุดพูดหรือหยุดกระทำการใดๆ ต่อสาธารณชน เพราะกรณีของผู้เสียหายมือกระแทกขดลวดเล่าให้เราฟังเพิ่มเติมว่าหลังจากเธอไม่ได้รับเงินค่ารักษา เลยเอาเรื่องออกไปเล่าให้เพจหนึ่งฟัง พอเรื่องเริ่มดังขึ้น บริษัทถึงมายื่นเงื่อนไขให้เซ็นสัญญาว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แล้วจะจ่ายเงินค่ารักษาให้

 

บุญยืน สุขใหม่: เงินประกันตัว 50,000 บาท มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ มันไม่ได้มีใครมีเงินฝากที่จะมาใช้ประกันตัว แล้วจะไปหาทนายจากไหน สุดท้ายก็ต้องก็ต้องนอนห้องขังฟรีหมด ต้องนอนห้องขังแล้วรอติดต่อญาติ สุดท้ายก็ถูกเลิกจ้าง นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว แล้วพอเป็นแบบนี้เขาก็บอกว่าแรงงานไทยเลือกมาก จริงๆ แล้วเราไม่ได้เลือกมากเลย เราแค่พูดถึงสิทธิตามกฎหมายของเรา”

 

แรงงานที่ส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ ได้ค่าแรงวันละไม่กี่ร้อยบาท แถมยังต้องเผชิญหน้ากับนายจ้างต่างชาติที่มีอำนาจมากกว่า บางคนพอออกจากงานเหล่านี้ ถ้ารู้สึกว่าควรต้องเปิดหน้าให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หรือโพสต์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเจอมา ก็เสี่ยงที่จะถูกฟ้อง เสียเงิน เสียเวลา เสียสุขภาพจิต ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมักถูกพูดกันแค่ในวงแคบ และเงียบหายไปตามกาลเวลา 

 

รัฐไทยทำอะไรกับเรื่องนี้บ้าง?

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงงานจีนจำนวนมากสร้างความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตของแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือไทยได้จัดการกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไรบ้าง แรงงานจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ และมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้ความรุนแรงไม่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งทางออกที่ชัดเจนที่สุดอาจจะต้องเป็นการจัดการโดยรัฐ และความร่วมมือของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

 

สหัสวัต คุ้มคง: “จริงๆ ต้องให้ความเป็นธรรมกับสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพราะจำนวน ‘พนักงานตรวจแรงงาน’ ไม่เคยเพียงพอ แรงงานในชลบุรีมีหลายแสนคนแต่พนักงานตรวจแรงงานมีหลักสิบ ต่อให้ทำงานหนักขนาดไหนมก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นการคาดหวังให้ทำงานเชิงรุกมาตรวจสุ่มตรวจ ที่จริงๆ แล้วก็ควรจะเป็นอย่างนั้น อาจทำได้ยากเพราะว่าจำนวนคน งบประมาณที่ไม่เพียงพอ

 

“มันเป็นปัญหาที่ต้องแก้ตั้งแต่ภาพใหญ่จากรัฐบาลในการจัดงบประมาณ ในการวางยุทธศาสตร์ เจ้ากระทรวงต้องกำหนดยุทธศาสตร์นโยบายลงมาว่ากรมสวัสดิฯ แต่ละจังหวัดต้องมีการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ ซึ่งพนักงานปฏิบัติการเองหลายคนเขาก็อยากทำ เขาคุยกับผมว่าเขาก็ได้ยินเคสมาแต่ไม่รู้จะทำงานเชิงรุกอย่างไร เพราะว่าแค่งานที่มีอยู่ก็ทำไม่ทันแล้ว

 

“อีกเรื่องหนึ่งที่อยากแชร์ให้ฟัง คณะกรรมาธิการแรงงานงานไปลงพื้นที่แถวนิคมแห่งหนึ่ง เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมจัดหางานและนิคมอุตสาหกรรมเพื่อพูดคุยถึงข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดสิทธิแรงงาน เรื่องที่น่าตกใจคือในการประชุมกรรมาธิการ เราพยายามจะทำให้เปิดเผยต่อสาธารณชน ถามว่าเอาสื่อมวลชนเข้ามาถ่ายได้ไหม ปรากฏว่าเจ้าของสถานที่คือนิคมอุตสาหกรรมไม่ยอมให้สื่อเข้า แล้วในการพูดคุย ณ วันนั้น สิ่งที่น่าตกใจคือแทนที่จะพูดข้อเท็จจริงที่คนเห็น นิคมอุตสาหกรรมกลับออกตัวปกป้องจีนอย่างชัดเจน พูดว่าจีนเข้ามาลงทุนก็จ้างคนไทยทั้งนั้น ถ้ามีตรงไหนที่หาคนไทยไม่ได้จริงๆ ถึงจะจ้างชาติอื่น หรือมีอาชีพไหนที่เป็นความเชี่ยวชาญที่หาในไทยไม่ได้ถึงจะขนคนจีนเข้ามา แต่ข้อเท็จจริงที่เราเห็นมันไม่ตรงกับที่เขาบอกเลย

 

“นิคมเขาบอกอีกว่าที่คนลือว่าจีนมาลงทุนในไทยแล้วเอาสินค้าเอาของจากจีนเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะว่าจีนจะต้องหาซื้อสินค้าในไทยก่อนอยู่แล้ว ถ้าหาไม่ได้ถึงจะนำเข้าจากจีนเข้ามา ซึ่งถ้าเราไม่ยอมรับข้อเท็จจริง ท้ายที่สุดจะไม่ใช่แค่แรงงานที่รับผลกระทบ เพราะผู้ประกอบการก็โดนสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดแล้วทำให้ SMEs ต่างๆ อาจจะอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

 

สหัสวัตระบุว่าสิ่งที่เขาเห็นในการประชุมกรรมาธิการ คือการโบ้ยกันไปมาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บอกว่าเป็นภาระหน้าที่ของอีกฝ่าย หรือบอกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเอง เช่น กรมจัดหางานอ้างว่าไม่สามารถตรวจสอบสิทธิและจำนวนแรงงานต่างชาติได้ เพราะไม่รู้ว่า BOI ให้สิทธิแรงงานต่างชาติกี่คน หรือทาง BOI ก็บอกว่าทำงานได้ยากเพราะไม่รู้ว่ากรมจัดหางานออกใบอนุญาตทำงานจำนวนเท่าไหร่ 

 

เขาจึงมองว่าการแก้ปัญหาที่สามารถเริ่มทำได้เลยหากรัฐให้ความสำคัญต่อประเด็นแรงงาน คือการทำระบบดาตากลางหรือ Data Center เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าไปตรวจสอบได้อย่างจริงจัง เห็นตัวเลข เห็นรายงานที่ชัดเจน แล้วปัญหาแรงงานเถื่อนอาจจะลดลง และได้เห็นความคืบหน้าเรื่องรายงานการละเมิดสิทธิแรงงานได้มากขึ้น 

เรายินดีต้อนรับนักลงทุนทุกคนที่เข้ามาลงทุนในไทย แต่อย่าลืมว่าคนที่สร้างเศรษฐกิจให้เรามันไม่ได้มีแค่นักลงทุน แต่มันมีแรงงานอีกจำนวนมาก เวลาแรงงานกลุ่มนี้ล้มมันคือชีวิตคนคนหนึ่ง รัฐไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้จริงๆ ผมว่าวันนี้เราต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าวิกฤตทุนจีนเป็นปัญหากับระบบเศรษฐกิจและสังคมของบ้านเราอย่างชัดเจน”

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising