ผู้นำระดับสูงของจีนประกาศให้การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเป็นภารกิจหลักด้านเศรษฐกิจในปี 2026 โดยมองว่าจีนจำเป็นต้องสร้าง ‘ตลาดภายในที่แข็งแรง’ เพื่อรองรับแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะเดียวกันรัฐบาลยังคงท่าทีการกระตุ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การอัดฉีดครั้งใหญ่เหมือนในอดีต เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงด้านหนี้สินและเสถียรภาพการเงิน
โปลิตบูโรยังให้ความสำคัญกับ ‘พลังการผลิตรูปแบบใหม่’ ซึ่งสะท้อนว่าจีนยังตั้งใจรักษาความแข็งแกร่งของภาคการผลิตไว้ และจะไม่นำมาตรการคุมเข้มรุนแรงมาใช้ในอุตสาหกรรมหลัก นอกจากนี้ การกลับมาของแนวคิด “การปรับนโยบายเชิงข้ามวัฏจักร” ชี้ให้เห็นถึงการวางแผนระยะยาวมากขึ้น ทั้งด้านนโยบายการคลังและการเงินที่ยังคงท่าทีเชิงรุกและผ่อนคลายปานกลาง
แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้จีนต้องเน้นการบริโภคภายในมากขึ้นมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงทุนที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว แม้ภาคส่งออกยังเป็นเครื่องยนต์หลักที่แข็งแรงจนทำให้ดุลการค้าแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ แต่แรงกดดันจากยุโรปและหลายประเทศทำให้จีนจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลยิ่งขึ้น
Jacqueline Rong หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ BNP Paribas SA กล่าวว่า “ภาพรวมคือกระตุ้นด้านอุปสงค์และประคองด้านอุปทานไปพร้อมกัน” เธออธิบายว่าปักกิ่งกำลังพยายามสร้างสมดุลระหว่างการผ่อนคลายนโยบายการคลัง – การเงิน กับการควบคุมความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ เช่น ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น จึงคาดว่านโยบายปีหน้าจะเอนเอียงไปในทิศทาง ‘ผ่อนคลายอย่างพอประมาณ’
นักวิเคราะห์คาดว่าปี 2026 จีนอาจปรับลดสัดส่วนเงินสำรองของธนาคาร (RRR) ในไตรมาสแรกของปี และปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสสอง เพื่อประคองการบริโภคที่ยังอ่อนแรง
ในด้านความเสี่ยง รัฐบาลจีนลดความสำคัญของการจัดการปัญหาหนี้และความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์ลงในลำดับวาระปี 2026 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นสัญญาณว่าปักกิ่งเชื่อว่าความเสี่ยงเหล่านี้เริ่มอยู่ในระดับควบคุมได้แล้ว ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรการคลังไปสู่โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายสังคมมากขึ้น
แม้เศรษฐกิจจีนโดยรวมยังเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย แต่แรงเสียดทานทางการค้ากับโลก รวมถึงนโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ Donald Trump ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม จีนเลือกเดินหน้านโยบายกระตุ้นอย่างระมัดระวังและต่อเนื่อง โดยจะให้รายละเอียดเชิงตัวเลขเพิ่มขึ้นในช่วงการประชุมสภาประชาชนเดือนมีนาคม
นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อหนุนการบริโภค ซึ่งชะลอตัวตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังอานิสงส์จากเงินอุดหนุนโครงการแลกรถเก่าเป็นรถใหม่เริ่มหมดแรง ขณะที่ความต้องการสินค้าคงทนลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่หันมามองภาคบริการเป็นหมวดต่อไปในการฟื้นฟูการบริโภค
ภาพ: Feature China/Future Publishing via Getty Images
อ้างอิง:


