วันนี้ (19 ตุลาคม) ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความหวังต่อการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมนี้
พร้อมเสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบันถอดรหัส กลไกที่ประเทศมหาอำนาจใช้กดดันเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา และนำมาประยุกต์ใช้ โดยยืนยันว่าควรต่อยอดจากความสำเร็จที่รัฐบาลแพทองธารเคยดำเนินการไว้
ชยิกา ระบุว่า การประชุมเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมทั้งเสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์ ดังนี้:
1. โจมตีเส้นทางการเงิน (Financial Warfare): เสนอให้รัฐบาลคว่ำบาตรผู้เล่นตัวหลักและตัดการเข้าถึงระบบการเงิน เพื่อให้ค่ายสแกมเมอร์เดินเงินยาก และสร้างผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อทั้งเครือข่าย โดยควรต่อยอดแผนเดิมในการจัดตั้ง ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) เพื่อขยายการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรม กลุ่ม Prince Group ของเฉินจื้อ และผู้เกี่ยวข้องในไทย
2. ยึดสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่: เรียกร้องให้ ปปช., ปปง., กระทรวงการคลัง และ กลต. ตรวจสอบเส้นทางบิตคอยน์ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา เพื่อสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ
3. ไล่ปิดท่อรับสมัครผิดกฎหมาย: มุ่งล้างโฆษณางานต่างแดนปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น ท่อล่อ เข้าสู่คอมพาวด์ และตัดที่จุดกำเนิดคน ไม่ใช่แค่ปลายทาง โดยต่อยอดจากการที่รัฐบาลแพทองธารเคยปิดเว็บไซต์เถื่อนไปแล้วกว่า 400,000 URL
4. ยกระดับเรียกร้องระหว่างประเทศ: เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ (UN) และชาติในอาเซียน (ASEAN) ช่วยกันแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และสแกมข้ามชาติต่อไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ชยิกา ยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีโดยตรงว่า “อย่ากลัวที่จะต้องต่อยอดนโยบายเดิมของรัฐบาลแพทองธาร” เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน พร้อมย้ำว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถอ้างว่าไม่ทราบรายละเอียดของงานได้ แต่จะต้องบูรณาการงานของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่น ๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ของประชาชน และต้องเดินหน้ากดดันสแกมเมอร์ในกัมพูชาทุกวิถีทาง เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจา โดยจะต้องไม่ลอยตัวเหนือปัญหาและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทัพ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศไปแก้ปัญหากันเอง