วันนี้ (5 กันยายน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง เป็นพิเศษ วาระอภิปรายคุณสมบัติของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในช่วงหนึ่ง จาตุรนต์ ฉายแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พร้อมแสดงเหตุผลที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทยไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ
จาตุรนต์ระบุว่า พรรคประชาชนจะโหวตสนับสนุนนายอนุทิน แต่จะไม่มีใครอยู่ใน ครม. ห้ามพรรคภูมิใจไทยรวมเสียงข้างมากในสภาฯ หมายความว่าต้องการให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลแบบลูกไก่อยู่ในกำมือของพรรคประชาชน นานไปอาจจะมีเหตุการณ์ “หนูเปล่านะ เขามาเอง” อาจมีเสียง สส.สนับสนุนให้จนเป็นเสียงมากได้
จาตุรนต์กล่าวต่อไปว่า การจะเป็นรัฐบาลด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ขัดต่อหลักการของระบบรัฐสภาของระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง และจะทำให้เกิดผลเสียตามมาต่อประเทศอย่างร้ายแรง หลักการของระบบรัฐสภาคือเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีจากบัญชีของพรรคการเมือง พร้อมลงมติแบบเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนรับรู้ว่า สส.คนไหน พรรคไหนสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ตรงกับที่ประกาศกับประชาชนหรือไม่ และเมื่อบุคคลนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรี สส. และพรรคต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองได้ทำไป
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือพรรคประชาชนระบุว่า จะไม่มีคนอยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แม้แต่คนเดียว หมายความว่าจะยกมือให้ แต่ไม่มีส่วนกำหนดนโยบายรัฐบาล หากเป็นเช่นนี้การตรวจสอบรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน จึงตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ การที่ผู้นำฝ่ายค้านอยู่ใน 2 สถานะเช่นนี้ จะเป็นฝ่ายค้านที่น่าเชื่อถือได้อย่างไร
“พรรคประชาชนอยู่ในสภาพอิลักอิเหลื่อ ผู้นำฝ่ายค้านแท้ ๆ เรียกร้องให้สมาชิกในสภาฯ อยู่ในที่ประชุมเพื่อพิจารณากฎหมาย เมื่อวานซืนท่านพูดอยู่หยกๆ ว่าองค์ประชุมเป็นเรื่องของรัฐบาล ถ้าท่านอนุทินได้เป็นนายกรัฐมนตรี องค์ประชุมไม่ครบ สภาล่ม มีกฎหมายสำคัญเข้ามา สภาล่มจะทำอย่างไร พรรคประชาชนบอกว่าจะเป็นองค์ประชุมให้ เพื่อให้สภาฯ เดินหน้าต่อ”
จะกลายเป็นฝ่ายค้านที่ไว้ใจไม่ได้ คอยประคองรัฐบาล
จาตุรนต์มองว่า พฤติกรรมเช่นนี้คือพฤติกรรมของการต้องประคับประคองรัฐบาล เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าพรรคประชาชนจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะแบ่งเวลาอย่างไร เราจะยอมให้ผู้นำฝ่ายค้านสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นผู้ร่วมเลือกรัฐบาลนี้มา
จาตุรนต์ระบุว่า พรรคประชาชนจึงไม่สามารถทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาลได้ ไม่สามารถอยู่ในสถานะที่ทัดทานได้ รัฐบาลออกนโยบายอะไรมา พรรคประชาชนไม่สามารถคัดค้านได้ อนุทินขาดคุณสมบัติ เนื่องจากมีบารมีมากไป หรือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอานุภาพมาก ขนาดยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนก็คาดการณ์ว่าจะได้เป็น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังขอเลื่อนการร้องทุกข์คดีเขากระโดงออกไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยเหตุผลว่ารอรัฐมนตรีคนใหม่เสียก่อน หากเป็นอย่างนี้ ภาพพจน์นักการเมืองที่เสียหายตกต่ำอยู่แล้ว ก็จะยิ่งตกต่ำต่อไป เป็นปัญหาของประเทศและระบอบประชาธิปไตย
จาตุรนต์กล่าวต่อไปว่า คนในพรรคท่านจะได้เป็นรัฐมนตรี จะมีบารมีมากและมีบารมีย้อนหลัง เคยแต่งตั้งใครเป็นข้าราชการระดับ 10 ไว้ คนนั้นไปสมัครองค์กรอิสระ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็สามารถเอาชนะนักกฎหมายชั้นนำของประเทศได้ บารมีเช่นนี้น่าเป็นห่วง หากใช้มาก ๆ จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พรรคของท่านไปพัวพันกับคดีฮั้ว สว.
“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบารมีของท่านจะทำให้คนผิดลอยนวลในคดีฮั้ว สว. ซึ่ง สว. มีอำนาจในการเลือกองค์กรอิสระ เราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้หรือ หากคุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี มีความเสี่ยงมากว่า บ้านเมืองจะพัฒนาไปเป็นเช่นนี้” จาตุรนต์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้พรรคประชาชนเสียงแข็งให้ยุบสภาทันที แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นให้เวลา 4 เดือน เพื่อทำประชามตินำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดย สสร. ที่ผ่านมามีการพิจารณากฎหมายประชามติโดยพรรคภูมิใจไทย ที่เห็นไม่ตรงต้องการให้กฎหมายประชามติมีผลไปในทางขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับ สว.
“หาก สว. ได้อำนาจเต็มที่ โดยบารมีหรือของวิเศษ จะเดินไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร หากลงมติในสภาแล้ว สว. ไม่โหวตให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือระบบองค์กรอิสระ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะถูกครอบงำโดยอำนาจพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่พรรคประชาชนเสนอต่อประชาชน”
พรรคประชาชนข้ามขั้วหนุนฝ่ายอนุรักษนิยม
จาตุรนต์กล่าวอีกว่า ตอนที่พรรคเพื่อไทยข้ามขั้ว ตนเองเคยวิจารณ์ไว้ว่า การข้ามขั้วจะนำไปสู่ความอ่อนแอของประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นจริง แต่ตอนนี้พรรคเพื่อไทย อย่าว่าแต่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยม จะขอไปเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม เขาคงไม่รับแล้ว จึงต้องมาปรับตัว พรรคเพื่อไทยถ้าเป็นฝ่ายค้าน ก็มาเจอกับพรรคประชาชน อาจจะได้ร่วมมือกับพรรคประชาชน ในฐานะพรรคฝ่ายค้านด้วยกัน แต่กลับพบว่าพรรคประชาชนข้ามขั้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
“พรรคประชาชนที่พูดมาตลอดว่ามีลุงไม่มีเรา ต้องประชาธิปไตย 4 เดือนต่อไปนี้ การตรวจสอบรัฐบาลจะไม่เข้มแข็ง นโยบายจะออกมาผิดที่ผิดทาง พรรคฝ่ายค้าน มีพรรคประชาชนที่ครึ่งๆ กลางๆ ทำให้ตรวจสอบรัฐบาลอ่อนแอ”
จาตุรนต์ระบุว่า ผลที่ตามมาอาจเกิดการแทรกแซง ทำให้ระบบนี้ถูกครอบงำไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างมั่นคง การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน จากนี้จึงเป็นระยะเวลาที่พรรคประชาชนจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายอนุรักษนิยม มวลชนของพรรคประชาชนจะรู้สึกอย่างไร หากพรรคของท่านได้กลายเป็นพรรคที่ข้ามขั้ว สนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างเต็มตัว
จาตุรนต์ทิ้งท้ายว่า หากให้ชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหาต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น เพราะท่านจะตั้ง ครม. แถลงนโยบาย คล้ายกันกับ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำไว้เมื่อปี 2535 เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ สุดท้ายมีการยุบสภาภายใน 20 วัน ซึ่งชัยเกษมจะยุบสภาได้เร็วกว่านั้น ความเสียหายที่จะเกิดต่อระบอบประชาธิปไตยจะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับที่จะเกิดขึ้นหากอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี