วันนี้ (11 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา จาตุรนต์ ฉายแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รอมฎอน ปันจอร์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขอให้สภาผู้แทนราษฎรส่งตัว พล.อ. พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขึ้นศาลในคดีอาญาตากใบ
จาตุรนต์เผยว่า ตนเองไม่ได้พูดคุยกับ พล.อ. พิศาล เป็นการส่วนตัว และเรื่องนี้ไม่ได้คุยกันในคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม ได้มีการติดตามว่าเรื่องนี้ไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว และส่วนตัวก็ไม่ได้หารือกับ พล.อ. พิศาล ที่ตกเป็นจำเลย ได้แค่ฟังการหารือของรอมฎอนกับ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับข้อจำกัดเรื่องรัฐธรรมนูญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้คือศาล ต้องทำเรื่องขอมายังสภาผู้แทนราษฎร แต่ในวรรคสุดท้ายก็ระบุว่าต้องไม่ขัดขวางการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น
จาตุรนต์กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ศาลยังไม่ได้ทำเรื่องขอมา ซึ่งก็เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ ส่วนจะมีผลอย่างไรต่อความรู้สึก หรือคดีที่กำลังจะหมดอายุความ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามและทำความเข้าใจกันไป รวมถึงหากเกี่ยวข้องกับกรรมาธิการ เราก็คงต้องเขียนรายงานที่แสดงถึงความเข้าใจต่อกรณีที่ใช้คำว่า ‘ประวัติศาสตร์บาดแผล’ ว่าเราควรจะคิดและทำอย่างไรกับเรื่องนี้
เมื่อสื่อมวลชนถามว่า สามารถเสนอเป็นเรื่องให้สภาลงมติได้หรือไม่ จาตุรนต์กล่าวว่า ต้องเป็นเรื่องที่มีการร้องขอมา แต่จากการอ่านรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาก็ถือว่ามีเอกสิทธิ์ในการคุ้มครองของสภาที่เปลี่ยนไปเยอะ คือในอดีตเรื่องไหนขอมา สภาก็จะไม่ให้ แม้ว่าจะตรงหรือไม่ตรงกับวันประชุมก็ตาม เพราะอาจเป็นเรื่องของการดำเนินคดีกลั่นแกล้งกัน แต่ช่วงหลังเป็นเรื่องการทำหน้าที่และการยินยอมที่หากเจ้าตัวขอมา สภาก็ยอม
ด้านรอมฎอนกล่าวเสริมว่า เท่าที่ทราบมา พล.อ. พิศาล มาร่วมลงมติในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดในวาระพิจารณาร่างกฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช. รวมถึงไม่ได้เข้าประชุมในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว คาดว่าก่อนวันที่ 23 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลจังหวัดนราธิวาสรับคำร้องในคดีอาญาตากใบ โดย พล.อ. พิศาล เป็นจำเลยที่ 1
รอมฎอนยังมองว่า หากคดีดังกล่าวหมดอายุความในมือของ พล.อ. พิศาล ก็จะไม่เป็นผลดี และทางผู้ฟ้องคดีก็ต้องการเพียงแค่ให้เรื่องราวของเหตุการณ์นี้ในแต่ละมุมถูกบันทึกไว้ในกระบวนการยุติธรรมไทย