วันนี้ (4 ธันวาคม) พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีรุกที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จังหวัดสระบุรี ที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึง ช. คนรักของนักการเมืองรายหนึ่ง
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวว่า เท่าที่ทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้พบว่าเส้นทางการเงินดังกล่าวมีมูลค่าถึงเกือบ 1 พันล้านบาทเป็นเงินหมุนเวียนผ่านบัญชี ในเรื่องนี้ตำรวจจะต้องตรวจสอบก่อนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย
ซึ่งต้องสืบสวนตามขั้นตอน ตำรวจต้องเดินตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงต้องรอให้ข้อมูลจากใต้โต๊ะมาเป็นหลักฐานที่อยู่บนโต๊ะก่อนจึงจะสืบสวนต่อได้ และยอมรับว่ากองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) อยากจะนำเรื่องนี้กลับมาทำ โดยก่อนหน้านี้คณะทำงานคดีนี้ก็อยากจะให้ บก.ปปป. ทำ ตนก็เข้าใจว่าแบบนั้น แต่เพิ่งมาทราบว่าหลังผ่านไป 4-5 เดือน สำนวนกลับไปอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทั้งนี้ ตนไม่ได้บอกว่าใครทำได้ดีกว่าใคร แต่หาก บก.ปปป. ได้ทำเรื่องนี้ก็จะเอาเส้นทางการเงินมาตรวจสอบโดยละเอียดว่ามีการแตกแขนงไปอย่างไรบ้าง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง และหากสำนวนกลับมาก็จะมีอำนาจเต็มที่ สามารถดำเนินการออกหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำได้
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นการทุจริตของข้าราชการกับนายทุน ซึ่ง บก.ปปป. เองเคยทำคดีบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก.นครราชสีมามาแล้ว เรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน มีแผนประทุษกรรมคล้ายกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ ป.ป.ช. ว่าจะมอบหมายให้ใครเป็นผู้ทำคดี และหากตนได้ทำคดีนี้ก็ไม่ลำบากใจที่จะต้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะตนพูดตั้งแต่แรกที่เข้าตรวจค้นบริษัท ภูนับดาว2021 จำกัด แล้วว่าถ้าพบความผิดให้ดำเนินการเลย เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
เมื่อถามว่า การที่บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่าเงินที่โอนไปครั้งละประมาณ 2 ล้านบาทหลายครั้งรวมเป็นยอด 10 ล้านบาทก่อนหน้านี้เป็นเงินที่ชำระเงินต้นหุ้นกู้ หากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นจะสามารถตัดเส้นทางการตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดได้เลยหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ระบุว่า บริษัทมีสิทธิที่จะชี้แจง แต่ไม่ใช่พูดแล้วจบ ต้องตรวจสอบพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง