×

แตกแยก เกลียดชัง และนองเลือด: เมื่อชาร์ลี เคิร์กคือเหยื่อรายล่าสุดของการเมืองยุคทรัมป์

14.09.2025
  • LOADING...
charlie-kirk-assassination-us-politics

 

เหตุการณ์การลอบสังหารผู้สนับสนุนตัวยงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่าง ‘ชาร์ลี เคิร์ก’ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญของประเทศสหรัฐอเมริกา และน่าจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่ทำให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า การเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคทรัมป์นั้น เต็มไปด้วยความแตกแยก เกลียดชัง จนนำไปสู่ความรุนแรงมากกว่ายุคก่อนๆ 

 

รู้จัก ชาร์ลี เคิร์ก

 

เคิร์กมีความสนใจการเมืองมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดยที่เขานั้นมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมเคร่งศาสนา เขาได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในครั้งแรกในปี 2010 ในขณะที่เขายังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลาย โดยเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาของมลรัฐอิลลินอยส์ ในเวลาต่อมาเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่ Harper College 

 

ที่นี่เองที่เคิร์กค้นพบว่า มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งรวมตัวกันของฝ่ายซ้าย (ทั้งอาจารย์และนักศึกษา) ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจาก Harper College เพื่อมาทำงานการเมืองเต็มตัว ด้วยการก่อตั้งองค์กร Turning Point USA โดยมีจุดประสงค์หลักด้วยการเผยแพร่แนวคิดแบบอนุรักษนิยมให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ผ่านรายการวิทยุและพอดแคสต์ เพื่อตอบโต้กับวัฒนธรรมเสรีนิยมที่แพร่กระจายอยู่ในแคมปัสของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

 

ด้วยความเฉลียวฉลาด ไหวพริบ และการพูดจาที่ฉะฉานของเคิร์ก ทำให้องค์กร Turning Point USA ของเขาได้รับความสนใจจากสื่อฝ่ายขวา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Fox News) ทำให้องค์กรของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากนายทุนฝ่ายอนุรักษนิยม

 

เคิร์กและองค์กร Turning Point USA ของเขาให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างเต็มตัว เคิร์กนั้นถือได้ว่าเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีความ ‘จงรักภักดีต่อทรัมป์’ สูงมาก และเขาก็เป็น ‘หัวหอก’ ในการหาเสียงให้กับทรัมป์โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย-Gen Z การที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับแคมเปญการหาเสียงของทรัมป์ ก็ทำให้เขาเกิดความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับลูกชายของทรัมป์อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์

 

แนวคิดแบบ ‘ขวาจัด’

 

เคิร์กมีแนวคิดว่า ชาติตะวันตกควรจะเป็น ‘ชาติของชาวคริสเตียน’ (Christian Nationalist) เขาเชื่อว่า โลกใบนี้เจริญขึ้นมาได้ (โดยเฉพาะโลกตะวันตก) เพราะวัฒนธรรมแบบชาวคริสต์ และชาติตะวันตกควรจะรักษาความเป็นคริสต์เอาไว้ เขาเชื่อว่า การเปิดรับ ‘ผู้อพยพผิวสี’ ที่ไม่ใช่ชาวคริสเตียนเข้ามาจะทำให้สังคมอเมริกาเสื่อมลง และนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนของทรัมป์อย่างเต็มตัว เพราะทรัมป์เป็นนักการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านผู้อพยพอย่างเข้มข้นมากกว่านักการเมืองจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆ

 

นอกจากแนวคิดเรื่องผู้อพยพแล้ว ด้วยความที่เขามีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมเคร่งศาสนาก็ทำให้เขา ‘ต่อต้าน’ สิทธิของ LGBTQIA+ (โดยเฉพาะทรานส์เจนเดอร์), การทำแท้ง และ ‘สนับสนุน’ สิทธิในการถือปืน (Second Amendment) อย่างเต็มตัว

 

เคิร์กเคยกล่าวว่า การที่จะมีคนตายจากอาวุธปืนนั้น ‘เป็นเรื่องปกติ’ และเป็นเรื่องที่สังคมอเมริกา ‘จำเป็นที่จะต้องแลก’ เพื่อรักษาสิทธิที่ทุกคนจะครอบครองอาวุธปืนได้ เขาบอกว่า มันเป็น ‘การแลกที่คุ้มค่า’ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า ตัวของเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในชีวิตที่ต้องแลก เพื่อรักษา Second Amendment เอาไว้

 

เลือดและความรุนแรง

 

ความรุนแรงนั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้า สำหรับการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้ความรุนแรงและการลอบสังหารนักการเมืองมีมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างประเทศจนมาพีคสุดในสมัยสงครามกลางเมือง อย่างไรก็ดี ความรุนแรงก็ได้ลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงปลายของศตวรรษที่ 20 ซึ่งก็เป็นไปตามเทรนด์ของโลกตะวันตกที่มีความศิวิไลซ์มากขึ้น มีการตัดสินปัญหาด้วยการเจรจาและประนีประนอมกันมากขึ้น โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

 

อย่างไรก็ตาม ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ความรุนแรงในทางการเมืองนั้นได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ภายหลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 ด้วยเหตุจากการที่ทรัมป์มีบุคลิกแบบที่เป็น ‘นักสู้ที่ไม่เคยยอมใคร’ เป็นอัลฟาเมล เขาพยายามฉายภาพให้ฐานเสียงของเขาเห็นว่า พรรคเดโมแครตนั้นคือ ‘ศัตรูหมายเลขหนึ่ง’ ที่พยายามจะทำลายเขา ทำให้ฐานเสียงของเขาพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับคนของเดโมแครต ซึ่งก็แน่นอนว่า มันย่อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงกลับคืนมาจากเดโมแครต ‘เป็นวงจรไม่รู้จบ’

 

บรรยากาศของความรุนแรง ‘แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ นี้ก็ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในหลายเหตุการณ์ เช่น การทำร้ายร่างกายของสามีของอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครตอย่างแนนซี เปโลซี, การลอบวางเพลิงของบ้านพักของผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียจากพรรคเดโมแครตอย่าง จอช แชปิโร, การสังหารประธานสภาท้องถิ่นของพรรคเดโมแครตที่มลรัฐมินนิโซตา, การจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ภายหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งของทรัมป์ รวมถึงการลอบสังหารของตัวทรัมป์ และเคิร์กที่เป็น ‘เหยื่อคนล่าสุด’ ของความรุนแรงนี้

 

ในช่วงอีกสามปีที่เหลือของรัฐบาลทรัมป์ สมัยที่สอง สถานการณ์ความรุนแรงก็คงจะไม่ได้ลดลง ตราบเท่าที่ทรัมป์ยังคงสุมไฟให้กับผู้สนับสนุนของเขา เพราะแม้แต่หลังเหตุการณ์นี้ เขาก็กล่าวปราศรัยในทันทีภายหลังการเสียชีวิตของเคิร์กว่า นี่เป็นผลงานของ ‘กลุ่มซ้ายจัด’ (ทั้งๆที่ เรายังไม่ได้ข้อสรุปว่า แรงจูงใจของผู้สังหารอย่างไทเลอร์ โรบินสันคืออะไร) และกล่าวว่า เขาจะลากตัวกลุ่มซ้ายจัดมาลงโทษ เพื่อล้างแค้นให้กับเคิร์ก ผู้เป็นเพื่อนของเขาให้จงได้

 

แฟ้มภาพ: Jabin Botsford / The Washington Post via Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising