วันนี้ (27 เมษายน) นอท-พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หัวหน้าพรรคเปลี่ยน กล่าวถึงกรณี 10 อันดับพรรคการเมืองที่ใช้เงินยิงโฆษณาบนเฟซบุ๊กมากที่สุดในรอบ 90 วัน และพรรคเปลี่ยนใช้งบมากที่สุดกว่า 1.5 ล้านบาท ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เคยมีพรรคไหนเปิดเผยมาก่อน เชื่อว่าพรรคเปลี่ยนเป็นพรรคเปิดเผยและตรงไปตรงมาที่สุด สิ่งที่ได้ดำเนินการไปนั้นรายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามความจริง ไม่มีการปิดบัง ตนเองอยู่ในวงการอินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง มีเพื่อนเป็นเอเจนซีมากมาย พรรคอื่นยิงโฆษณาหลัก 10-100 ล้านบาท โดยพรรคการเมืองอื่นอาจจะนำงบประมาณไปใช้สำหรับการจัดทำป้ายหาเสียงทั่วประเทศ แต่พรรคเปลี่ยนเน้นออนไลน์
ขณะที่ป้ายหาเสียงที่ติดตั้งทั่วประเทศใช้งบประมาณ 3 ล้านกว่าบาท รวมแล้วใช้งบประมาณ 4 ล้านกว่าบาทในการหาเสียง ดังนั้น ขอให้คิดดูว่าพรรคขนาดใหญ่ใช้เงินไปเท่าไร ขณะที่การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขต ที่พรรคส่งทั่วประเทศ 18 เขตนั้นก็ใช้งบหาเสียงไม่มาก เพราะป้ายหาเสียงส่วนใหญ่ก็ใช้ป้ายของพรรค
พันธ์ธวัชยังได้กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกหาเสียงในช่องทางโซเชียลมีเดียว่า การจะนำเสนอนโยบายให้ประชาชนรับรู้ สิ่งที่จะนำเสนอได้คือผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อต่างๆ และสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถคุยกับประชาชนได้โดยตรง ดีกว่าติดตั้งป้ายหาเสียงด้วยข้อความสั้นๆ ตนจึงตัดสินใจที่จะเลือกนำเสนอนโยบายให้ประชาชนรับรู้ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียจะสื่อสารได้ดีที่สุด และพรรคใช้งบประมาณในการจัดทำป้ายหาเสียงประมาณ 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ ส่วนตัวรู้สึกงง เหตุใดงบหาเสียงทางโซเชียลกลายเป็นประเด็น ซึ่งส่วนตัวทำด้านโซเชียลมา การยิงแอดไม่ใช่เรื่องแปลก เชื่อว่าพรรคอื่นไม่สามารถนำมาโจมตีได้ เพราะยังเหลืองบประมาณในการหาเสียงของพรรคการเมือง 40 ล้านบาท
“การันตีว่างบของพรรคเปลี่ยนไม่เยอะที่สุด แต่เปิดเผยที่สุด พรรคอื่นอาจจะใช้เป็น 10 ล้าน เป็น 100 ล้านบาท เขายิงโฆษณากันเยอะแยะ ยิงในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ผมน้อยสุดดีกว่า ความตรงไปตรงมาชัดเจนที่สุด” พันธ์ธวัชกล่าว
ส่วนกรณีที่ กกต. กำหนดค่าใช้จ่ายในการหาเสียงนั้น พันธ์ธวัชเห็นว่าเพื่อให้ทุกพรรคมีงบประมาณในการทำงานการเมืองเท่ากันหมด แข่งกันอย่างเท่าเทียมทั้งพรรคเล็กและพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ พร้อมเตือนพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ให้แฟนคลับยิงแอดโฆษณาให้ หากเกินจำนวนที่กำหนดจะต้องแจ้งค่าใช้จ่ายหาเสียงต่อ กกต. ให้รับทราบ เพราะหากตรวจพบภายหลังมีโทษถึงยุบพรรคการเมือง ที่ตนเองรู้เนื่องจากต้องศึกษาคู่แข่งตลอดเวลา อีกทั้งตนเองและเพื่อนๆ อยู่ในแวดวงโฆษณา
ภาพ: ส่องสื่อ