ประเดิมต้นปีมังกรเบิกฤกษ์นักลงทุน ดัชนีตลาดหุ้นโลกทำผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 4 ปี ดัชนี MSCI World โต 16% ถือเป็นข่าวดีรับปีใหม่ 2024 ด้วยแรงส่งจากปลายปีที่แล้ว ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ เบอร์หนึ่งของโลก พุ่งขึ้นแรงทั้ง 3 ตลาด ต้องบอกว่าทำผลตอบแทนได้ยอดเยี่ยม โดยดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้นถึง 44.52% ตามด้วยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 24.73% และดัชนี Dow Jones ที่มีหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ (Big Cap) จำนวนมาก ปรับเพิ่มกว่า 13.74%
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงก็มีหลายเหตุผลด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสตอรีเงินเฟ้อที่เป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่องก็เริ่มคลี่คลาย เงินเฟ้อปรับลดลงจากจุดสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2022 ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ช่วยคลายความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลง และสะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2024
ตลาดหุ้นใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นไปแรงจะไปต่อแค่ไหนก็ยากจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เพราะว่าปีนี้สถานการณ์ต่างๆ รอบโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงโอกาสที่สหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยลงเร็วในเดือนมีนาคมนี้ด้วย การจะเข้าซื้อของที่ราคาแพงคงต้องคำนึงถึงความไม่แน่นอนไปพร้อมกันด้วย
แต่จะดีกว่าไหมหากคุณจะมองหาของถูกลงทุนติดพอร์ตไว้บ้าง ตามหลักการลงทุนสาย VI ‘หุ้นคุณภาพ ราคาถูก มีอนาคต’ ซึ่งหมายถึงว่า คุณจะต้องเป็นคนกล้าลงทุนแนวสวน (ตลาด) และเฟ้นหาหุ้นน้ำดีติดพอร์ตไว้บ้าง ด้วยมุมมองไประยะข้างหน้าว่า น่าจะได้ประโยชน์จากการถือลงทุนระยะกลางจนถึงระยะยาว
คุณคงจำประโยคทองที่ปู่ Warren Buffett มักชอบพูดกับนักลงทุนก็คือ “จงกล้าในวันที่คนอื่นกลัว และจงกลัวในวันที่คนอื่นกล้า” พูดง่ายๆ ประมาณว่า ทำตรงข้ามคนส่วนใหญ่ และทำตามคนส่วนน้อย
ปีนี้ผมก็ยังให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชียครับ หนึ่งในตลาดหุ้นที่ไหลลงมาลึกแล้วต้องยกให้กับ ‘ตลาดหุ้นจีน’ ที่เป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก
ทำไมผมถึงยังชูตลาดหุ้นจีนน่าลงทุนเหรอครับ เพราะผมเชื่อว่าจีนน่าจะผ่านจุดย่ำแย่สุดๆ ไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา จากการตัดสินใจผ่าตัดวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ แม้ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ปัญหา และปีนี้น่าจะยังมีข่าวบริษัทนั่นบริษัทนี่ล้มกันอีก แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า จีนกำลังล้างขยะหนี้ที่ซุกใต้พรมมานานไม่ต่ำกว่า 5 ปีก่อน
หุ้นจีนไหลลงต่ำสุดต่อเนื่องมา 3-4 ปี แม้มีวิกฤตแต่เศรษฐกิจยังโตได้
ช่วงนี้มีแต่คนพูดถึงตลาดหุ้นจีนที่ถูกที่สุดในโลก หลังจากปี 2023 ดิ่งลงแรงที่สุด เมื่อเทียบกับความสามารถของผลกำไรที่คาดหวังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ข้อมูลจาก Bloomberg ที่สำรวจความคิดเห็นจากตลาดนักวิเคราะห์กว่า 470 คนที่มีมุมมองการลงทุนต่อตลาดหุ้นจีน โดยผลสำรวจที่ออกมาราว 33% หรือสัดส่วน 1 ใน 3 ของกลุ่มสำรวจ ตอบว่าจะเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้นกว่าเดือนสิงหาคม 2023 ที่มีเพียง 19% ที่ตัดสินใจจะลงทุนในหุ้นจีน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมองว่าจีนมีความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงเรื่องภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในปี 2024
ถ้าดูดัชนี MSCI China หุ้นจีนเคยทะยานขึ้นสูงสุดในช่วงต้นปี 2021 หลังจากนั้นทรุดตัวลงราว 60% เข้าสู่ภาวะตลาดหมีเป็นเวลานานถึง 2 ปี เนื่องจากความกังวลวิกฤตหนี้ภาคอสังหาระเบิด ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งการปรับลดลงดังกล่าว ทำให้หุ้นจีนอยู่ในกลุ่มที่ราคาถูกที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับผลกำไร
ส่วนผลสำรวจของ Bank of America Corporation ระบุว่า ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่นักลงทุนปรับลดน้ำหนักการลงทุนมากสุดในภูมิภาค แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น เพียงแต่ปัจจัยที่เป็นปัญหาใหญ่ของจีนปีนี้ เรื่องแก้วิกฤตอสังหายังเป็นเรื่องที่นักลงทุนคำนึงถึงมากที่สุด
เมื่อต้นปี 2023 จีนเริ่มเปิดเมืองหลังโควิด ตลาดหุ้นสดใสได้เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะรัฐบาลตัดสินใจปล่อยให้ยักษ์ใหญ่อสังหา ‘Evergrande’ ล้มละลาย หลังจากที่ไม่สามารถแก้ปัญหา ‘ขาดสภาพคล่อง’ ได้ และมีอีกหลายบริษัทล้มละลายตามมา เช่น Country Garden, Sunac Holdings, China Aoyuan Group และเมื่อต้นปีนี้บริษัทลูกในเครืออสังหา ‘Xinyuan Real Estate’ ก็ยื่นล้มละลาย ข่าวพวกนี้ยังคงเข้ามาในปีนี้ ขณะที่ปีที่แล้วนักลงทุนเทขายหนีตายในตลาดหุ้นจีน Sell on fact รับข่าววิกฤตอสังหาเต็มๆ ปีทีเดียว ถ้าดูเฉพาะปี 2023 ตลาดหุ้นจีนร่วง 11.75% ดัชนี CSI 300 หดตัวลงติดกันเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงติดลบเป็นปีที่ 4 และนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นจีนมูลค่าสุทธิไม่ต่ำกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ในส่วนของดัชนีฮ่องกง Hang Seng Index ปีที่ผ่านมาก็มีการปรับลดลงถึง 15.38%
ถ้าดูในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าจีนได้ผ่านวิกฤตหนักๆ มาเยอะมาก เริ่มตั้งแต่จีนเกิดการแพร่ระบาดของโควิดในปี 2020 ระหว่างทางเกิดวิกฤตหุ้นเทคจีนซ้ำเติม เนื่องจากรัฐบาลจีนเข้ามาจัดการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี หลังจากที่เชือดยักษ์ฟินเทค ‘Ant Group’ ของ ‘Jack Ma’ ที่มีแผนจะระดมทุนเข้าตลาดหุ้น ตามมาด้วยบริษัทเทคที่อยู่ในธุรกิจต่างๆ อย่างเกมติวเตอร์ออนไลน์ ฯลฯ กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่ฝรั่งเรียกกันว่า “จีนยิงเท้าตัวเอง” ตลอดปี 2021 ตลาดหุ้นจีนยังร่วงหนัก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตสูงถึง 8.1% จากปี 2020 ที่ GDP โตแค่ 2.2% ภายใต้วิกฤตโควิดก็ตาม
ในปี 2022 จีนเจอวิกฤตใหญ่อีกครั้ง เมื่อเซี่ยงไฮ้ยกระดับใช้มาตรการ Zero-COVID อย่างเข้มข้น สวนทางกับต่างประเทศที่ทยอยเปิดเมืองกันแล้ว ทำให้ประชาชนจีนต่อต้านรัฐบาลและเกือบเกิดการลุกฮือขึ้นมา ตลาดหุ้นร่วงอีกระลอกจนกระทั่งประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยอมยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ในช่วงปลายปี ช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 โดยผลกระทบจากมาตรการ Zero-COVID ฉุดเศรษฐกิจจีนโตแผ่ว 3%
และอีกวิกฤตที่เรื้อรังนานสุดจนถึงปัจจุบัน นั่นคือปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ยกระดับขึ้นมาจากหลายปีก่อนที่เกิด ‘สงครามการค้า’ หรือ Trade War มีการกีดกันการค้าผ่านการเก็บภาษีสินค้าต่างๆ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และยกระดับเป็น Chip War ซึ่งเป็นมหาสงครามทรัพยากรแห่งอนาคต และสหรัฐฯ ยังจับมือไต้หวันห้ามส่งชิปเทคโนโลยีให้จีน เพื่อสกัดกั้นจีนพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก ทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องถอนทัพโรงงานผลิตออกจากจีนจำนวนมาก
จะเห็นว่าไม่ว่าจีนจะเจอกี่วิกฤตเข้ามาก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังสามารถขยายตัวได้ และยังมีบริษัทในบางกลุ่มที่ยังมีผลกำไรอยู่ ล่าสุดปี 2023 จีนยังโชว์ผลงานดีออกมาด้วย GDP เติบโต 5.2% สูงกว่าที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมาย GDP เติบโต 5%
รัฐบาลจีนทุ่มหมดหน้าตัก สัญญาณการฟื้นตัวเด่นชัด
สำหรับปี 2024 IMF คาดการณ์ GDP จีนเติบโต 4.6% เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนยังอยู่ทิศทางขาลง รัฐบาลยังจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือ เนื่องจากซัพพลายที่ล้นตลาดจำนวนมาก และการส่งออกสินค้าจีนลดลงในตลาดต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยปีนี้จะโฟกัสด้านกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะด้านการใช้จ่ายบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งเชื่อว่า 2 เครื่องยนต์ใหญ่ของจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้ขยายตัวต่อไป เพราะอย่าลืมว่าจีนยังมีเสาหลักภาคธุรกิจอื่นๆ ที่สำคัญๆ อยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาคท่องเที่ยว ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานสะอาด ธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่เติบโตสูงในช่วงปีที่ผ่านมา และยังมีศักยภาพดีต่อเนื่องในระยะยาวตามเมกะเทรนด์โลก
ด้านการลงทุนในภาครัฐ หลังจากที่ปลายปีที่แล้วรัฐบาลจีนได้ออกพันธบัตร 1 ล้านล้านหยวน หรือ 1.37 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งมีการจัดสรรงบประมาณไปยังรัฐต่างๆ โดยจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยสร้างการจ้างงาน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรง และผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง
ส่วนการลงทุนในภาคเอกชน หลังจากที่จีนเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายการเติบโตเชิงคุณภาพ และให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแบบ Deep Tech (เทคโนโลยีระดับสูงที่มีความซับซ้อนเชิงลึก) เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับตัวเอง ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ และป้องกันปัญหาคอขวดของเทคโนโลยี พัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ทำให้รัฐบาลสนับสนุนให้ภาคเอกชนปรับตัวไปตามเป้าหมาย
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ในช่วงที่ผ่านมา จีนให้เงินอุดหนุนและผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ในจีนสามารถยกระดับคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าและแข่งขันทางราคากับรถ EV ค่ายต่างๆ ได้สำเร็จ ทำให้ยอดขายรถ EV ค่าย BYD ของจีนแซงหน้าค่าย Tesla ของสหรัฐฯ ไปเรียบร้อย จีนยังเป็นเจ้าตลาดผลิตแบตเตอรี่รถ EV ด้วย วันนี้จีนครองตลาดรถ EV บนเวทีโลก ซึ่งจีนมี Supply Chain อีกจำนวนมากที่จะเติบโตตามๆ กัน ซึ่งทั่วโลกมองว่า จีนพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงได้ชนิดหายใจรดต้นคอสหรัฐฯ แล้ว
มาดูด้านการใช้นโยบายการเงินในปีนี้ จีนมีช่องว่างในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้เต็มที่มากขึ้น หลังจากปีที่แล้วที่เจอสถานการณ์เงินหยวนอ่อนค่าลงมาก ทำให้ธนาคารกลางจีนไม่สามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและลดดอกเบี้ยได้เต็มที่มากนัก เพราะฉะนั้น หากปีนี้ Fed มีการปรับลดดอกเบี้ยลงตามที่ตลาดคาดการณ์ จะทำให้ธนาคารกลางจีนหายใจได้โล่งขึ้น เนื่องจากยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นสินเชื่อ รวมทั้งยังช่วยลดต้นทุนทางการเงินด้วย
ผมเชื่อว่าในปี 2024 จีนมีโอกาสกลับมาโดดเด่นอีกครั้งได้จากสัญญาณที่ค่อยๆ ฟื้นตัวให้เห็น รัฐบาลจีนทุ่มหมดหน้าตัก เราน่าจะได้เห็นมาตรการออกมาอีก ทั้งแก้ปัญหาภาคอสังหา กระตุ้นกำลังซื้อ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น เรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง
และถ้ามองในระยะกลางถึงระยะยาว หลังจากที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ยุคที่ 3 ตั้งเป้าหมายระยะกลางในปี 2025 จีนจะเป็นยุคที่มีความมั่งคั่งรุ่งเรืองร่วมกัน ซึ่งหมายถึงประชากรชาวจีนจะมีรายได้ดี กินดีอยู่ดี ภาพในอนาคตของจีนมีโอกาสที่จะขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งหมายถึงตลาดหุ้นเติบโตตามไปด้วย
โอกาสหุ้นจีนฟื้นตัวมีแค่ไหน…จุดวัดใจนักลงทุนระยะยาว
ถ้าถามว่าตลาดหุ้นจีนยังมีแรงซื้ออยู่หรือไม่ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติเทไปแล้ว ตอนนี้จีนกำลังสร้างนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาตลาดหุ้นครับ ล่าสุดกระทรวงการคลังของจีนกำลังพิจารณาจะขยายขอบเขตการลงทุนของกองทุนประกันสังคมที่มูลค่าสูง 2.88 ล้านล้านหยวน (4.06 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) สามารถเข้าลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น การลงทุนโดยตรงในสินเชื่อธนาคาร ตั๋วเงินคลัง กองทุนอุตสาหกรรม และกองทุนหุ้น ยังรวมถึงกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) กองทุนดัชนี และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อกระจายการลงทุนของกองทุนและเพิ่มผลตอบแทน
นักวิเคราะห์ในจีนก็มองว่า การขยายขอบเขตการลงทุนของกองทุนประกันสังคมจะเกิดผลดีมากกว่าครับ ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมของจีนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2000 ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7.66% ถือว่าค่อนข้างดี หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนยังได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุนรายย่อย 37 กองทุน ประกอบด้วย กองทุน Exchange-Traded Funds (ETFs) 10 กองทุนที่อ้างอิงดัชนี CSI 2000 ซึ่งเป็นดัชนีรวบรวมหุ้นขนาดเล็กและ ETFs ที่เน้นเทคโนโลยีอีก 7 กองทุน นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวมนวัตกรรมอีก 20 กองทุนด้วย และยังลดภาษีอากรแสตมป์ในการซื้อขายหุ้นจาก 0.1% เหลือ 0.05% มีผลทันที ถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008
เรียกว่ารัฐบาลจีนก็ให้ความสำคัญกับการเข้ามาฟื้นฟูตลาดหุ้นอยู่ โดยธรรมชาติของตลาดหุ้นย่อมมีขึ้นมีลงอยู่ตลอด แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในระยะยาว เพราะถ้ามีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันมากๆ ก็จะทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น
มองในอีกแง่หนึ่ง นี่อาจเป็นโอกาสดี ได้หุ้นจีนที่ดีในราคาที่ถูกก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่ามันลงมาต่ำสุดแล้วหรือยัง เรียกได้ว่าเหมือนเป็นจุดวัดใจของหลายๆ คน
สำหรับใครที่ติดดอยหุ้นจีนอยู่ ไม่รู้จะขายขาดทุนดีหรือถือต่อดี ขึ้นอยู่กับว่าคุณขาดทุนมากแค่ไหน หากคุณขาดทุนมากจริงๆ คุณจำเป็นต้องทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ว่า หุ้นที่ถืออยู่ยังมีโมเดลธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตแค่ไหน มีความทนทานแค่ไหน และที่สำคัญมีความสามารถทำกำไรได้อยู่หรือไม่ คุณยังเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตและราคาหุ้นในอนาคตเพียงใด ผมเชื่อว่าคุณจะได้คำตอบที่ดีครับ
ส่วนใครที่ยังอยากหาหุ้นจีนที่มีราคาถูกเพื่อลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ผมแนะนำเลือกหาหุ้นรายตัวดีๆ ของจีนและทยอยลงทุน ซึ่งคุณสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลหุ้นจีนได้ง่ายๆ ที่ Jitta.com ที่มีการจัดอันดับ (Ranking) ไว้ โดยสามารถเลี่ยงภาคอสังหาและการเงิน แล้วเลือกหุ้นจีนในกลุ่ม Defensive ที่ยังมีการเติบโต หรือหุ้นที่มีโมเดลธุรกิจแข็งแรง หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยหรือการลงทุน และอย่าลืมชั่งน้ำหนักความเสี่ยงกับโอกาสลงทุนของตัวคุณเองก่อนจะตัดสินใจลงทุนหุ้นจีน
ผมขอบอกเพื่อนนักลงทุนทุกท่านว่า การลงทุนให้ประสบความสำเร็จคงไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้ใหญ่ ที่ระหว่างทางต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดิน อาศัยเวลาในการเจริญเติบโต เพื่อให้ต้นไม้ของเราแตกกิ่งก้าน มีรากฐานที่แข็งแรง
การลงทุนระยะยาวก็เช่นกันครับ…หากคุณลงทุนในกิจการที่ดี กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม มีวินัยลงทุนต่อเนื่องสม่ำเสมอ ด้วยเวลาที่มากพอ พอร์ตลงทุนของคุณก็จะค่อยๆ ผลิดอกออกใบ เติบใหญ่อย่างมั่นคงไม่ต่างกันครับ และขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกท่านครับ