หลังจากที่เรียกเสียงฮือฮาเพราะตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 7 มกราคม พร้อมกับข่าวใหญ่ระดับสะเทือนวงการฟุตบอลไทยว่า ชนาธิป สรงกระสินธ์ เตรียมที่จะย้ายจากฮอกไกโด คอนซาโดเล ซัปโปโร เพื่อไปร่วมทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล (สื่อญี่ปุ่นกระพือข่าว ชนาธิปเตรียมย้ายซบคาวาซากิ ฟรอนตาเล แชมป์เจลีก) ในที่สุดก็มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากทุกฝ่ายเมื่อวันอังคารที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา
ว่านักฟุตบอลเบอร์หนึ่งของไทยในยุคนี้ได้ย้ายไปร่วมทีมแชมป์เจลีกจริง โดยแม้จะไม่มีการเปิดเผยค่าตัวอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการพูดกันว่าค่าตัวในการย้ายทีมครั้งนี้เกิน ‘ร้อยล้านบาท’
ประสาคนที่เฝ้ามองเจมานาน และพอจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของเขาจากเพื่อนซึ่งเป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลชนาธิปมาบ้าง ส่วนตัวผมแอบ ‘เสียดาย’ อยู่นิดหน่อย
ตามประสาคนบ้าบอลที่ฝันไกล ครึ่งหนึ่งของหัวใจผมอยากเห็นชนาธิปได้ไปโลดแล่นอยู่บนแผ่นดินยุโรป ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเกมฟุตบอล ไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า นักฟุตบอลไทยนั้นไม่ได้เก่งน้อยกว่าชาติอื่นอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือจีนเลย
ส่วนตัวผมเชื่อว่าเจทำได้ และน่าจะทำได้ดีด้วย
ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผมหรือแฟนบอลที่ฝัน เท่าที่รู้นักเตะผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและอัธยาศัยไมตรีคนนี้ก็ฝันในแบบเดียวกัน และเคยมีความพยายามที่จะหาลู่ทางในการไปให้ถึงยุโรป
แต่บางครั้งความฝันไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียวเสมอไป มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ได้เสมอ
และเมื่อวัยเพิ่มพูน ไม่แปลกที่เราจะรู้ว่าบางครั้งสิ่งสำคัญกว่าอื่นใดคือการได้อยู่ในที่ที่มองเห็นค่าของเราอย่างแท้จริง
ในขณะที่หลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะในสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับไทยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาจากความพยายามของลาลีกาในการเจาะหัวใจแฟนลูกหนังแดนสยาม ดังจะเห็นได้จากการเดินทางไปทดสอบฝีเท้าของนักเตะไทยในสเปนเรื่อยๆ ไม่พร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อตอบแทนฝีเท้าของชนาธิป (และนักเตะไทยอีกหลายคน) ซึ่งได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง
แชมป์เจลีกอย่างคาวาซากิ ฟรอนตาเล กลับเลือกที่จะเข้าหาเขาแทนด้วยท่าทีที่จริงจัง
เรื่องนี้ยึดตามถ้อยคำที่ชนาธิปเอ่ยเองในบทสัมภาษณ์พิเศษ (ซึ่งหวังว่าจะมีคิวให้ THE STANDARD บ้างในเร็วๆ นี้) ฝ่ายที่ติดต่อมาคือคาวาซากิ ฟรอนตาเล ที่ยื่นข้อเสนอให้แก่คอนซาโดเล ซัปโปโร
จำนวนเงินค่าตัวของชนาธิปเป็น ‘สถิติใหม่’ ของการซื้อขายผู้เล่นในเจลีกด้วยกัน ซึ่งแทนคำตอบว่าฟรอนตาเลให้ค่ากับนักเตะไทยคนนี้แค่ไหน
ชนาธิปเองก็ตกใจในตัวเลขดังกล่าว และสอบถามกลับอย่างซื่อๆ ตามประสา ในทำนองอยากรู้ว่าคิดอย่างไรถึงยื่นข้อเสนอมหาศาลระดับนี้มาเพื่อตัวเขา
คำตอบที่ได้รับจากทางแชมป์เจลีก 6 สมัย และเป็นทีมที่เก่งที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ พวกเขาศึกษามาอย่างละเอียดเกี่ยวกับตัวของชนาธิปแล้ว และไม่มีใครที่จะดีไปกว่าเขาที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ฟรอนตาเล ซึ่งปล่อยนักเตะไปค้าแข้งในยุโรปไม่นานนี้
ผมลองจินตนาการว่า ถ้าเป็นตัวเองได้ยินคนมาชวนไปทำงานแบบนี้บ้าง หัวใจคงจะพองโตเป็นบอลลูนแน่เลยทีเดียว เพราะนี่ก็ถือเป็นการให้เกียรติกันอย่างสูงแล้ว
ถึงจะไม่ใช่ยุโรป แต่นี่คือแชมป์เจลีก ทีมที่ดีที่สุดของประเทศ และสำหรับชนาธิปแล้วเขาก็มีความฝันที่ค้างคาในการค้าแข้งที่ญี่ปุ่น
ชนาธิปเคยได้รางวัลเจลีกมาแล้วในปี 2018
ความฝันนั้นคือการได้ชูถ้วยแชมป์สักครั้ง รวมถึงการคว้ารางวัล MVP หรือผู้เล่นทรงคุณค่า
อาจจะเป็นความจริงที่โหดร้าย แต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าหากยังอยู่กับคอนซาโดเล ซัปโปโร เขาอาจไม่มีโอกาสนั้นด้วยศักยภาพและขนาดของทีม การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ถึงจะไม่ยากเท่า แต่ก็ชวนให้นึกถึงเรื่องเลสเตอร์ ซิตี้ สร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อหลายปีก่อน
กับคอนซาโดเล ในช่วง 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา เขามาได้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้แล้ว อย่างน้อยก็เคยติดทีมยอดเยี่ยมเจลีกมาแล้วกับทีมนี้
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ชนาธิปตอบตกลงกับฟรอนตา และและขอโทษคอนซาโดเลที่ถึงเวลาต้องร่ำลาจากกัน
จากนี้คือความท้าทายครั้งใหม่ที่ยากที่สุดในชีวิต เพราะนี่คือสโมสรที่ชนาธิปจะไม่ได้อยู่ในสถานะของคนที่เก่งที่สุดหรือคนที่ดีที่สุดอีกต่อไป
ฟรอนตาเลให้เปรียบแบบเข้าใจง่ายก็เหมือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งไม่ใช่เพราะใส่เสื้อสีฟ้าเหมือนกัน แต่เป็นทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งมากมายในทุกตำแหน่ง
ระดับของทีมสูงกว่า การจะสอดแทรกเข้าไปในทีมนั้นจึงยากกว่า และแม้จะย้ายมาด้วยค่าตัวมหาศาล ก็ไม่ได้หมายความว่าจะการันตีโอกาสในการลงสนามทุกครั้ง
ในทางตรงกันข้าม ชนาธิปจะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับทีมที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นว่าเขาดีพอที่จะลงสนามในฐานะตัวจริงของทีม ซึ่งถ้าเขาทำได้ นั่นหมายความว่าระดับฝีเท้าของเขายอดเยี่ยมเสมอนักเตะระดับท็อปของเจลีกอย่างแท้จริง
ไม่ง่าย แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำไม่ได้
ในวัย 28 ปี ชนาธิปกำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงท็อปพีคที่สุดของชีวิตการเล่น หากอยากจะ ‘วัด’ กับของจริงก็นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนนี้มีครบทั้งกำลังวังชา ฝีเท้า และกระดูกบอล
ที่สำคัญหัวใจดูเหมือนจะกลับมามีไฟร้อนแรงอีกครั้ง
การย้ายไปคาวาซากิ ฟรอนตาเล ครานี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้ นอกจากผลตอบแทนจากการทำงาน ซึ่งเชื่อว่านักเตะที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวเป็นสถิติก็คงจะได้รับสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกับความสามารถ สิ่งที่เขาจะได้รับกลับมาคือเรื่องราวการผจญภัย เหตุการณ์ ความทรงจำ และความรู้สึก
จับจากถ้อยคำสัมภาษณ์แล้ว ชนาธิปไม่ได้คิดถึงตัวเองอย่างเดียว เขาหวังจะให้การเดินทางของเขาครั้งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กไทยรุ่นต่อไปด้วย
พี่ทำให้ดูแล้ว ตามพี่มาสิ
อยากจะเป็นแบบพี่เจก็ต้องขยัน อดทน ทุ่มเท ไม่หยุดพัฒนา ไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้วพอ มีวินัย มีน้ำใจ อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักเก็บออม รู้จักการลงทุน และพร้อมที่จะกระโดดคว้าโอกาสโดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว
พูดแล้วก็นับถือใจ เด็กอะไรนอกจากคิดดีแล้วยังทำดีเสมอ
หากโรคระบาดสิ้นสุดลง มนุษย์กลับมาเดินทางไปมาหาสู่กันได้อีกครั้ง อยากชวนให้ลองไปเชียร์ขวัญใจของเรากันที่สนามโทโรโดกิสเตเดียมดูสักครั้งครับ
เมืองคาวาซากิใกล้โตเกียวนิดเดียว เดินทางง่ายมากไม่ถึงชั่วโมง มีลูกเล็กเด็กแดงช่วงเช้าชวนกันไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio ไปดูโดราเอมอนและผองเพื่อน หรือจะไปสวนสนุกโยมิอุริแลนด์ก็ได้ครับ
ส่วนจะไปสนามก็ไปลงสถานีมูซาชิโคสุงิ ที่สถานีจะมี Shuttle Bus ขึ้นฟรีไปลงที่สนามโทโรโดกิได้เลย สะดวกมาก (ที่สถานียังมีร้านข้าวปั้นอร่อยด้วย ถ้าไปฤดูหนาว หม่ำข้าวปั้นร้อนๆ นี่อุ่นหัวใจ)
บรรยากาศการเชียร์ของกองเชียร์ฟรอนตาเล
ที่เล่าได้เพราะเคยแฝงตัวไปนั่งเชียร์ ธีราทร บุญมาทัน กับโยโกฮามา เอฟ มารินอส ในปี 2019 ที่ลุ้นแชมป์เจลีก (หนึ่งวันที่ไม่มีวันลืม กับการตามไป (แอบ) ให้กำลังใจ ‘ธีราทร บุญมาทัน’ บนอัฒจันทร์กองเชียร์ฟรอนตาเล) และประทับใจกับบรรยากาศกองเชียร์ฟรอนตาเลที่มีชีวิตชีวา
คราวหน้าถ้าได้ไปจะได้ไม่ต้องแฝงตัวแอบเชียร์อีกแล้ว จะตะโกนเชียร์ให้สุดเสียงเลย 🙂
- นอกจากการเล่นฟุตบอลแล้ว ชนาธิปยังมีร้านกาแฟเล็กๆ ของตัวเองด้วยชื่อ Mikka (แทรกลิงค์ https://thestandard.co/chanathip-songkrasin-mikka-cafe/)
- ชนาธิปยังผลิตชุดอุปกรณ์ฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาศักยภาพสำหรับเด็กๆ ด้วย สนนราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับแบรนด์เมืองนอก ลองไปดูได้ที่เว็บไซต์ jaycs18.com/